จากหนี้เสียกลายเป็นหนี้ดี


นิตยสารผู้จัดการ( พฤษภาคม 2534)



กลับสู่หน้าหลัก

4 ปีเศษ ๆ ที่มาโนชเข้าแก้ปัญหาความเสียหายจากการปล่อยสินเชื่อจำนวนเกือบ 5,000 ล้านบาท มีหลายรายที่เขายอมรับว่าแบงก์ต้องตัดเป็นค่าใช้จ่ายหนี้สูญทันที แต่ก็มีอยู่จำนวนหนึ่งที่เขาและทีมงานมีความรู้สึกภูมิใจอยู่เงียบ ๆ ในการฟื้นฟูฐานะหนี้ที่เรียกได้ว่าเป็นหนี้เสียแล้ว ให้กลับคืนมาเป็นหนี้ที่สามารถเดินบัญชีได้ตามปกติ

"เวลานี้เราคืนซอฟต์โลนแล้ว เหลือหนี้ที่ถูกจัดชั้นสงสัยประมาณ 3,160 ล้านบาท ผมเชื่อว่ากว่าครึ่งเราคงต้องตัดเป็นหนี้สูญ" มาโนชเล่าให้ฟังถึงสถานะของสินเชื่อที่อยู่ในข่ายสงสัยจะสร้างความเสียหาย

หนี้บริษัทน้ำตาลไทยของวิเทศ ว่องวัฒนะสินเป็นตัวอย่างหนึ่งของบรรดาหนี้ที่ถูกจัดชั้นว่าสูญไปแล้ว แต่ด้วยความกล้าเสี่ยงของมาโนชและทีมงาน ทุกวันนี้หนี้รายนี้กลายเป็นหนี้ที่มาโนชกล่าวได้อย่างไม่อาจใครถึงความพยายามที่จะแก้ปัญหาหนี้เสียของแบงก์ได้สำเร็จ

บริษัทน้ำตาไทยมีหนี้สินหมุนเวียนกับแบงก์มาตั้งแต่สมัยคำรณ เตชะไพบูลย์จำนวนเกือบ 500 ล้านโดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันกับแบงก์เลย "เงินทุนหมุนเวียนนี้คำรณเปิดวงเงินให้วิเทศประมาณ 600 ล้านเพื่อแลกกับเงินฝาก 300 ล้านที่วิเทศมาฝากไว้ที่ทรัสต์ของคำรณที่ฮ่องกงบริษัทเฟิร์สบางกอกซิตี้" สุนทร โภคาชัยพัฒน์ นักกฎหมายของวิเทศเคยเล่าถึงที่มาของหนี้จำนวนนี้ให้" ผู้จัดการ" ฟังเมื่อเกือบ 2 ปีก่อน

หนี้รายนี้เริ่มมีปัญหาหมักหมมมาตั้งแต่ปีการผลิต 2523/24 เมื่อราคาน้ำตาลในตลาดโลกดิ่งลงจาก 40 เซนต์/ปอนด์ปีก่อนหน้าเหลือ 16 เซนต์ บริษัทน้ำตาลไทยซึ่งก่อนหน้าถูกจำกัดการส่งออกจากมาตรการแก้ปัญหาน้ำตาลในประเทศขาดแคลนของตามใจ ขำภะโตรัฐมนตรีพาณิชย์สมัยนั้น และการขาดแคลนปรมาณอ้อยป้อนโรงงานไม่เพียงพอทำให้บริษัทเจอปัยหาสภาพคล่องการหมุนเวียนเงินสด

ที่ซ้ำร้ายการตกต่ำของราคาน้ำตาลในตลาดโลกติดต่อกันนานถึง 5 ปีจนปี 2528 ราคาน้ำตาลดิ่งลงเหลือปอนด์ละ 2 เซนต์เท่านั้น

ใครทำน้ำตาลเวลานั้นทุกรายาขาดทุนป่นปี้

น้ำตาลไทยเจอเข้าเต็มรัก เจ้าหนี้ทุกรายยกเว้นมหานคร ซึ่งเวลานั้นกำลังเผชิญมรสุมฐานะการดำเนินงานใกล้ล่มสลายจนแบงก์ชาติต้องเข้าควบคุมโดยส่งปกรณ์ มาลากุลจากผู้อำนวยการสาขาภาคเหนือแบงก์ชาติมาดูแล ต่างก็เข้ารุนทึ้งเพราะถือว่ามีหลักทรัพย์ค้ำประกันมูลหนี้

สิ้นปี 2528 บริษัทน้ำตาลไทยมีหนี้สิน 1,200 ล้าน มีสินทรัพย์ที่จดจำนองกับเจ้าหนี้ 3 รายคือไทยพาณิชย์ ทหารไทย กรุงศรีอยุธยามีมูลค่าประมาณ 700 กว่าล้านเป็นเครื่องจักร ที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างโรงงาน และสต็อกน้ำตาลอีก 400 กว่าล้านเป็นหนี้ที่มีกับมหานครโดยปลดจำนอง

ในสถานะนี้แบงก์มหานครอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบที่สุด

หนทางเลือกมีอยู่หนทางเดียวของมหานครเพื่อให้ได้หนี้คือนและหลักทรัพย์ค้ำประกันคือ การรับซื้อหนี้ติดจำนอง 700 กว่าล้านจากเจ้าหนี้ 3 รายและการเข้าอัดฉีดวงเงินหมุนเวียนจำนวนหนึ่งเพื่อให้บริษัทเดินธุรกิจต่อไปได้

แต่ห้วงเวลานั้นมหานครไม่อยู่ในฐานะที่จะเลือกทำเช่นนี้ได้ เพราะแบงก์กำลังถูกกดดันจากปัญหาความเสียหายของสินทรัพย์ และการปริวรรตอย่างหนัก วงเงินหมุนเวียนต่าง ๆ ที่เปิดให้กับใครต่อใครถูกเรียกกลับหมด

หน้าที่การแก้ปัญหาจึงเป็นเรื่องของเจ้าหนี้รายอื่น ซึ่งเวลานั้นดูเหมือนจะเดินหน้าฟ้องลูกเดียวเพราะไม่สามารถตกลงกันได้ในการแบ่งสันรายได้จากการขายน้ำตาลตามสัดส่วนมูลหนี้ การอัดฉีดเงินเพื่อให้โรงงานสามารถเปิดหีบอ้อยได้จึงต้องพับไป

เวลานั้นโรงงานน้ำตาลไทยมีกำลังการผลิตวันละ 12,000 ต้นอ้อย แต่ราคาน้ำตาลส่งออกมันเหลือปอนด์ละ 2 เซนต์เจ้าหนี้ทุกรายนั่งคำนวณรายได้จากเม็ดเงินที่ขายน้ำตาลแล้วได้นิดเดียวมาแบ่งกันไม่พอ

ฤดูการผลิตปี 29 และ 30 โรงงานน้ำตาลไทยซึ่งตั้งอยู่ที่ท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรีจึงตกอยู่ในสภาพปิดตาย

ฤดูการผลิตปี 2530/31 ราคาน้ำตาลในตลาดโลกเริ่มฟื้นตัวกลับไปที่ปอนด์ละกว่า 10 เซนต์ตามาวัฏจักรวงจรค้าน้ำตาล ประพันธ์ ศิริวิริยกุลและสมชัย ถวิลเติมทรัพย์เถ้าแก่โรงงานน้ำตาลนครสวรรค์ และหนองใหญ่ก็เข้ามาช่วยเหลือ บริษัทน้ำตาลไทยตามการร้องขอของสุนทร โภคาชัยพัฒน์และอำนวย ปะติ เสที่อาสาวิเทศเข้ามาเจรจาแก้ปัญหาหนี้สินกับเจ้าหนี้

ประพันธ์และสมชัยเข้าอัดฉีดเงินจำนวนหนึ่งประมาณ 100 กว่าล้านเพื่อให้โรงงานสามารถเปิดหีบได้ และเข้าบริหาร

ตรงจังหวะนี้เองเป็นรอยต่อของความพยายามแก้ปัญหาหนี้เสียของแบงก์มหานครในสมัยมาโนช

"เราต้องเลือกเอาระหว่างหนี้เสีย 400 กว่าล้านโดยไม่มีหลักประกันอะไรเลยกับโอกาสที่เราจะเสียอย่างมากที่สุดไม่เกิน 200 ล้านถ้าเราปลดจำนองหนี้ 700 กว่าล้านและอัดฉีดเงินหมุนเวียนให้ 200 ล้านเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ตลอดรอดฝั่ง " มาโนชเล่าให้ฟังถึงการตัดสินใจเข้าอุ้มชูหนี้รายนี้

ถ้าเราตัดสินการตัดสินใจของมาโนช จากเงื่อนเวลาของณะนี้ก็ต้องเรียกว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะอย่างน้อยที่สุดหนี้รายนี้ก็สามารถชำระหนี้คืนก้อนแรก 75 ล้านตามสัญญาการประนีประนอมแล้ว

แต่ในเวลานั้นเมื่อ 2 ปีก่อน ใครจะไปรู้ว่าราคาน้ำตาลมันจะดิ่งลงอีกเมื่อไรหรือถ้ามันจะขึ้นไปอีกนานแค่ไหนและราคาเท่าไร

มองจากจุดนี้ ก็ต้องเรียกว่ามาโนชตัดสินใจเข้าเสี่ยงเอามาก ๆ ทั้งที่แบงก์กำลังอยู่ในฐานะสร้างตัวจากความเสียหาย

มาโนชวางแผนการฟื้นหนี้น้ำตาลไทยทันที แบงก์เข้าซื้อหนี้ติดจำนอง 700 กว่าล้านจากกรุงศรี ทหารไทย และไทยพาณิชย์โดยขอให้แบงก์เจ้าหนี้ทั้งสามรายลดมูลหนี้ ลง 30% เมื่อผ่านจุดนี้ไปได้ แบงก์จะอัดฉีดเงินหมุนเวียนให้บริษัทน้ำตาลไทยอีกก้อนหนึ่งประมาณ 200 ล้านเพื่อให้โรงงานมีทุนหมุนเวียนเปิดหีบอ้อยได้

บริษัทน้ำตาลไทยโอนหนี้สิน ทรัพย์สินให้บริษัทใหม่คือบริษัทน้ำตาลไทยกาญจนบุรีเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด โดยมีคนของแบงก์เป็นกรรมการบริหารเข้าควบคุมอย่างใกล้ชิด

บริษัทน้ำตาลไทยกาญจนบุรีกลายเป็นหนี้รายใหม่ที่มาแทนน้ำตาลไทยโดยมีหลักทรัพย์จดจำนองกับแบงก์มหานครมูลค่าประมาณ 800 ล้าน มาโนชกล่าวว่าแผนการชำระคืนกำหนดไว้ 10 ปี ถ้าแผนการฟื้นฟูนี้มีอันต้องล้มเหลวลงอีกแบงก์ก็สามารถเอาหลักทรัพย์ที่ติดจำนองออกขายได้" ขายได้ 600 ล้านบาทก็ยังดี เราก็สามารถลดความเสียหายจากหนี้รายนี้ลงได้เหลือ 300 ล้านจากเดิมถ้าไม่ทำอะไรเลยเราจะเสียหายฟรี ๆ 400 กว่าล้าน" มาโนชพูดถึงด้านที่ร้ายที่สุดของผลแผนการเข้าฟื้นฟูหนี้เสียรายนี้

เมื่อมาโนชเอาแผนนี้เข้าบอร์ดแบงก์ ทุกคนเห็นด้วยกับการแผนของมาโนช

แล้ววันนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการตัดสินใจของมาโนชต่อการแก้ปัญหาหนี้เสีย 400 กว่าล้านเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

น้ำตาลไทยฯสามารถชำระหนี้ก้อนแรกคืนได้ตามปรกติและฐานะหนี้รายนี้ถูกจัดชั้นเป็นหนี้ปกติแล้ว

เป็นเวลานับปีกว่ามาโนชจะเห็นผลงานการตัดสินใจของเขา

แม้นว่ามันต้องผ่านการตรึกตรองอย่างเด็ดเดี่ยว กล้าได้กล้าเสียที่บอกตรง ๆ ว่าในแวดวงแบงเกอร์เกอร์ด้วยกันแล้วหาคนใจถึงอย่างนี้ไม่ง่ายนักก็ตาม

และสิ่งนี้คือฉากหนึ่งของการบริหารแบงก์มหานครยุคมาโนช ที่สามารถให้คำตอบถึงเบื้องหลังว่าอะไรคือสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้แบงก์ฟื้นตัวจากความเสียหายได้เร็ว



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.