เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีนับแต่ก่อตั้งบริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวมในความอุปถัมภ์ค้ำชูของรัฐบาลโดยกระทรวงการคลัง
ธนาคารออมสินบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรรมฯ (IFCT) และบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ
(IFC) ที่มีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนและบริษัทโบรกเกอร์ นักลงทุนทั่วไปอย่างดุเด็กเผ็ดมันเปิดเผยวิธีการลงทุนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ
การบริหารงานของบริษัทฯ ที่มาแห่งรายได้ของบริษัทฯ อย่างละเอียดลออ
แถมเปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวรุกซักถามอย่างตั้งตัวไม่ติด ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นกรณีแรก
ๆ ในวงการธุรกิจการเงินไทยที่ใจกว้างถึงขนาด
เหตุทั้งหลายทั้งปวงของเรื่องมาจากกระแสข่าวที่ปรากฏทั่วไปในหนังสือพิมพ์ว่ากองทุนรวมเป็นผู้ชักนำการขึ้นลงของราคาหุ้น
ทุบหุ้นบ้าง ไล่ซื้อหุ้นาบางตัวบ้างซึ่งในฐานะผู้บริหารเงินกองทุนขนาดใหญ่ที่สุดเพียงรายเดียวในเมืองไทยแล้วใคร
ๆ ย่อมเชื่อว่ากองทุนรวมสามารถทำได้
แต่นักลงทุนที่เชื่อข่าวลือทำนองนี้ไม่เคยเฉลียวใจคิดบ้างหรือว่า กองทุนรวมจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ปานฉะนั้น
ผู้มีหน้าที่ควบคุมกติกาและระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ อย่างตลาดหลักทรัพย์ฯ และธนาคารชาติทำไมไม่จัดการแก้ปัญหานี้
ทวีเกียรติ กฤษณามระ ประธานกรรมการฯ อุดมวิชยาภัย กรรมการจัดการและดำรงสุข
อมาตยกุล ผู้จัดการกองทุน ได้ร่วมกันแถลงข่าวโดยมีเป้าหมายที่จะเคลียร์เรื่องราวทั้งหลายให้จบสิ้นไป
ทวีเกียรติเปิดเผยว่า "วัตถุประสงค์หลักของบริษัทหลักทรัพย์กงทุนรวม
คือการระดมเงินทุนจากภาคเอกชนทั้งในและนอกประเทศมาร่วมลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทย
ซึ่งที่ผ่านมากองทุนรวมก็ประสบความสำเร็จในการช่วยทำให้ตลาดหลักทรัพย์มีการเคลื่อนไหวเป็นอย่างดี
ทำความเจริญให้กับหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นอย่างมาก แม้ว่าจะเป็นการช่วยในทางอ้อมหลายอย่าง"
ปัจจุบันกองทุนรวมบริหารกองทุนทั้งหมด 17 กองทุนเป็นกองทุนระหว่างประเทศ
10 กองทุนและกองทุนในประเทศ 7 กองทุน มูลค่าเงินกองทุนทั้งสิ้น 40,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอีก 81 กองทุน (ณ สิ้นปี 2533) มูลค่าประมาณ
764 ล้านบาท
ขอบข่ายการดำเนินงานของกองทุนรวม นอกจากทำหน้าที่บริหารกองทุน 17 กองทุนและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอีก
81 กองทุนแล้ว ยังได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้เป็นนายทะเบียนพันธบัตรรัฐวิสาหกิจต่าง
ๆ ได้แก่ พันธบัตรองค์การโทรศัพท์ฯ การรถไฟฯ การสื่อสารฯ การนิคมอุตสาหกรรมฯ
และการเคหะแห่งชาติด้วย
กิจกรรมล่าสุดคือ การจัดตั้งบริษัทวาณิชธนกิจใจฮ่องกง ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาการลงทุนให้กับสถาบัน
นิติบุคคลและบุคคลทั่วไปที่สนใจการลงทุนในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก บริษัทนี้มีชื่อว่า
MFC INTERNATIONAL LTD., ยังไม่ได้ดำเนินงานเพราะอยู่ระหว่างการยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกจที่ปรึกษาการลงทุนกับรัฐบาลฮ่องกง
อุดมเปิดเผยว่า "รายได้หลักของบริษัทฯ มาจากค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุนเราไม่มีรายได้จากการซื้อขายหลักทรัพย์
และเราต้องวื้อขายผ่านโบรกเกอร์ต้องเสียค่าคอมมิชชั่นเหมือนนักลงทุนอื่น
ๆ ส่วนรายได้ประเภทที่สองคือค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งค่อนข้างแข่งขันกันอย่างมาก
และรายได้จากการเป็นนายทะเบียนพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ"
ทั้งนี้เมื่อสิ้นปี 2532 กองทุนรวมมีรายได้จากค่าธรรมเนียมในธุรกิจหลักทรัพย์สูงถึง
156.66 ล้านบาท และเมื่อรวมเข้ากับรายการกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ ดอกเบี้ยและเงินปันผลแล้ว
ปรากฏว่าในปี 2532 มีรายได้ถึง 195.06 ล้านบาท เทียบกับปี 2533 รายได้ทะยานไปถึง
287.97 ล้านบาท
ในส่วนของรายจ่ายนั้นปรากฏว่าค่าใช้จ่ายที่สูงสุด คืออัตราเงินเดือนพนักงาน
อุดมกล่าวว่า "เราต้องพยายามรักษาให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ อยู่กับเราให้นานที่สุด
ค่าใช้จ่ายด้านนี้จึงค่อนข้างสูง"
ด้วยเหตุนี้ กำไรสุทธิในปี 2532 และ 2533 จึงลดลงกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้
เป็น 82.30 และ 127.41 ล้านบาทตามลำดับ
ว่าไปแล้วผลการดำเนินงานของกองทุนรวมยังดีกว่าบริษัทจดทะเบียนและรับอนุญาตในตลาดหลักทรัพย์ฯ
อีกเป็นจำนวนมาก
ดำรงสุขเปิดเผยวิธีการทำงานในการบริหารกองทุนแต่ละกองทุนว่า "ในโครงสร้างการทำงานของบริษัทจะมีกระบวนการตัดสินใจในการลงทุน
(DECISION MAKING PROCESS) ซึ่งประกอบไปด้วยหน่วยงานวิจัยและวางแผน มีคณะกรรมการจัดการลงทุนของแต่ละกองทุนแต่ละชาติ
มีเจ้าหน้าที่สั่งซื้อขายหลักทรัพย์ของฝ่ายการตลาดและมีผู้จัดการกองทุนของแต่ละกองทุนซึ่งจะไปร่วมงานกับคณะกรรมการฯ
ของกองทุนนั้น ๆ "
หน่วยงานวิจัยและวางแผนทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจการเมืองข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนเก็บไว้เป็นดาต้าเบสของบริษัททำหน้าที่เยี่ยมเยียนบริษัทในตลาดฯ
ในทุกไตรมาสเพื่อนำข้อมูลมาเขียนรายงานสรุป โดยนักวิจัยนจะเป็นผู้ประเมินว่าบริษัทไหนควรลงทุนในระดับราคาเท่าไหร่
นอกจากนี้ยังทำการวบรวมข้อมูลวิจัยจากโบรกเกอร์ต่าง ๆ ซึ่งอาจจะมีความเห็นไม่ตรงกับนักวิจัยของกองทุนรวม
ข้อมูลทั้งหมดจะส่งไปให้ผู้จัดการกองทุนเป็นผู้พิจารณาดำเนินการลงทุนตามระเบียบการของธนาคารชาติ
ในส่วนของคณะกรรมการจัดการลงทุนจะมีคณะกรรมการประจำแต่ละกองทุนโดยมีคนของกองทุนต่างประเทศมาร่วมงานด้วย
ทำหน้าที่ปรึกษาหารือร่วมกันเพื่อกำหนดนโยบายว่าจะซื้อขายหลักทรัพย์ตัวไหนเท่าไหร่
ในอุตสาหกรรมแต่ละประเภทจะลงทุนเท่าไหร่ ซึ่งต้องไม่เกินอัตราที่ธนาคารชาติกำหนด
ดำรงสุขกล่าว่า "ผู้จัดการกองทุนคนหนึ่งต้องติดต่อกับฝรั่ง คนหนึ่งติดต่อกับญี่ปุ่นคนหนึ่งติดต่อกับยุโรป
ทั้งนี้นโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุนจะไม่เหมือนกัน เช่น ญี่ปุ่น ต้องการลงทุนในหุ้นที่ให้เงินปันผลสูง
เราก็ต้องซื้อหุ้นแบงก์ให้ แต่ยุโรปต้องการลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูงเป็นต้น"
ในด้านของการสั่งซื้อขายนั้น ผู้จัดการกองทุนไม่สามารถยกหูโทรศัพท์สั่งซื้อขายได้ตามสะดวกใจ
ดำรงสุขเปิดเผยว่า "เราใช้ระบบอเมริกากัน คือ มีเจ้าหน้าที่สั่งซื้อขายหลักทรัพย์ในห้องค้าของเรา
ผู้จัดการกองทุนจะส่งคำสั่งซื้อขายไปที่ห้องค้าแล้วเจ้าหน้าที่จะสั่งไปยังโบรกเกอร์อีกที
เจ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่มีการตัดสินใจเลย ทำตามที่ผู้จัดการกองทุนสั่ง ทุกวันนี้เราใช้โบรกเกอร์ประมาณ
4-5 รายเท่านั้น เราพยายามแบ่งแยกการทำงานของแต่ละหน่วยงานให้เป็นอิสระแก่กัน
และคำสั่งซื้อขายของผู้จัดการกองทุนแต่ละคนก็จะเป็นรายการวันต่อวันไม่มีการสั่งล่วงหน้า
หากซื้อขายไม่ได้ คำสั่งจะยกเลิกโดยปริยายในห้องค้าจะไม่มีการทราบว่าพรุ่งนี้จะมีการสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ใดก่อนหน้าเป็นอันขาด"
ดำรงสุขเปิดเผยต่อไปถึงหลักการในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า "ในการซื้อนั้น
ผมต้องดูว่าหลักทรัพย์นั้น UNDER VALUE อยู่หรือเปล่า ซึ่งคำนี้ก็มีความหมายต่าง
ๆ กันในความเห็นของผู้จัดการกองทุนแต่ละคน นอกจากนี้เราดูด้วยว่าหากหลักทรัพย์ทั้งหมดมีแนวโน้มที่จะขึ้นเราก็ซื้อ
และอีกส่วนก็เป็นการจองซื้อตามสิทธิต่าง ๆ เมื่อมีการเพิ่มทุนมีส่วนที่เราซื้อผิดคือซื้อไปแล้วหุ้นตก
เราก็ต้องซื้อเพิ่มเพื่อเฉลี่ยต้นทุนให้ลดลง ในส่วนที่ต้องทำตามระเบียบของธนาคารชาติก็คือเราจะถือเงินสดเกิน
25% ของกองทุนไม่ได้ ซึ่งตรงนี้เราก็ต้องคอยบริหารให้เป็นไปตามกฎ"
ส่วนเกณฑ์ในการขายหุ้นดำรงสุขกล่าวว่า "เราจะขายเมื่อมันมีราคาขึ้นไปมากพอสมควรหรือที่เรียกว่า
OVER VALUE และขายในกรณีที่เมื่อเทียบราคาหุ้นกับเงินปันผลแล้วไม่คุ้มกัน
เราจะขายเมื่อราคาหุ้นขึ้นไปถึงเป้าหมายราคาที่เรากำหนดไว้ หรือมีการลงทุนเกินกำหนดไว้
หรือมีการลงทุนเกินกำหนดที่แบงก์ชาติตั้งไว้ ในอีกกรณีหนึ่งคือเมื่อเทียบกับหุ้นที่เรามีกับหุ้นที่เราไม่มี
ผลตอบแทนดีกว่าเราก็จำเป็นต้องขายหุ้นที่เรามีไปซื้อหุ้นที่เราไม่มี แต่ผลตอบแทนดีกว่า
ในบางกรณีเราต้องขายหุ้นบางส่วนเพื่อจะเอาเงินไปจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน"
หลักการที่กล่าวมาทั้งหมดดูเป็นเรื่องธรรมดาที่นักลงุทนอาชีพหรือผู้บริหารพอร์ทฯ
ทั้งหลายจำเป็นต้องยึดถือ แต่ในรายละเอียดที่ยิ่งกว่านี้นั้นจำเป็นต้องอาศัยชั้นเชิงและความได้เปรียบในวงเงินลงทุนเป็นเครื่องมือ
แน่นอนว่าผู้จัดการกองทุนในกองทุนรวมจะบริหาร "ซี้ซั้ว" ได้อย่างไร
ในเมื่อมีระเบียบการของทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ และแบงก์ชาติดูแลกำกับอยู่
กองทุนรวมต้องส่งรายงานมูลค่าพอร์ทฯ ลงทุนให้กับธนาคารชาติทุกสัปดาห์ และยังต้องมีเรคคอร์ดการซื้อขายหลักทรัพย์ปรากฏที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ
ด้วย
มาตรการเหล่านี้คงจะทำให้เกิดการทุบขายและทุ่มซื้อได้ยาก
อุดมแจกแจงตัวเลขมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ของกองทุนรวมในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า
"มูลค่าการซื้อขายในแต่ละวันมีไม่เกิน 10% อย่างต่ำสุดมี 2% และสูงสุดมี
9.5% ถ้าคิดเฉลี่ยก็ประมาณ 5-6% ของมูลค่าการซื้อขายรวมของตลาดซึ่งตอนนี้มีประมาณ
3,000-5,000 ล้านบาท เท่ากับว่ากองทุนรวมซื้อขายสูงสุดไม่เกินวันละ 530 ล้าน"
หลักทรัพย์ที่กองทุนรวมถืออยู่ในปัจจุบันมีประมาณ 70 หลักทรัพย์ ในส่วนหลักทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานดีเช่นกลุ่มแบงก์ก่อสร้าง
ไฟแนนซ์ ถือเก็บระยะยาว หรือกล่าวได้ว่าประมาณ 80% ของมูลค่าพอร์ทฯ แทบจะไม่ได้ขายเลย
อุดมโต้ข้อกล่าวหาที่ว่ากองทุนรวมทุบขายหุ้นเมื่อวันที่ 25 มีนาคมว่า "ในวันนั้นกองทุนรวมซื้อขายหลักทรัพย์เพียง
6.8% ซึ่งถือเป็นการซื้อขายตามปกติ"
ในส่วนของข้อกล่าวหาเรื่องความเกี่ยวพันของกองทุนรวมกับบริษัทเอ็นอีพี
อสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรม จก. อุดมชี้แจงว่า "กองทุนรวมลงทุนในหุ้นเอ็นอีพีฯ
น้อยมาก ไม่ถึง 1% เหตุที่ลงทุนเพราะมันมีราคาต่ำมาก แต่ไม่ได้ลงทุนมากเพราะเกรงปัญหาเรื่องการขัดแย้งในผลประโยชน์ธุรกิจ"
ทั้งนี้ ประธานกองทุนรวมฯ คือทวีเกียรติดำรงตำแหน่งประธานเอ็นอีพีฯ อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
กองทุนรวมลงทุนหุ้นกระสอบอิสานซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็นเอ็นอีพีฯ
ตั้งแต่เมื่อพฤษภาคม 2533 เมื่อหุ้นมีราคาที่ 30 กว่าบาทจำนวน 2 แสนหุ้นปัจจุบันกองทุนรวมถืออยู่เพียง
60,000 หุ้นเท่านั้น ซึ่งเป็นจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนหุ้นทั้งหมด
50 ล้านหุ้น และมีการซื้อขายวันละ 2-3 ล้านหุ้น
กองทุนรวมไม่สามารถแก้ไขความข้องใจของนักลงทุนได้อย่างหมดจด แต่ข้อหนึ่งที่นักลงทุนพึงสังวรคือ
เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าธุรกิจอย่างกองทุนรวมนั้นดำเนินไปภายใต้ระเบียบข้อบังคับของหน่วยงานราชการ
เมื่อกองทุนรวมยืนขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ต้องเข้ามาอยู่ภายใต้ระเบียบข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ฯ
เช่นกัน
หวังว่าการเปิดเผยข้อมูลในครั้งต่อ ๆ ไปที่จะมีขึ้น จะช่วยไขความกระจ่ายให้ผู้ลงทุนมากกว่าที่เป็นอยู่
และผู้บริหารในกองทุนรวมก็ควรจะทำตัวให้เปิดเผยมากกว่าเดิม ในฐานะที่เป็นบริษัทมหาชนและมีนักลงทุนรายย่อยชาวไทยเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ด้วย