ทำไมบางประเทศถึงประสบความสำเร็จในการแข่งขันระหว่างประเทศ ขณะที่อีกหลายประเทศกลับล้มเหลว
ดูเหมือนจะเป็นคำถามเชิงเศรษฐกิจที่ได้ยินบ่อยครั้งมากในยุคของเรา
ทำไมเยอรมนีจึงเป็นฐานสำคัญของผู้ผลิตรถหรูหราราคาแพงชั้นนำของโลกมากมายนัก
?
ทำไมสหรัฐฯ จึงสามารถผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้เหนือกว่าคู่แข่งระดับโลกชาติอื่น
ๆ มากนัก ?
แล้วอะไรทำให้บริษัทญี่ปุ่นแข็งแกร่งนักในแง่ของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการอุปโภคบริโภค
?
คำอธิบายว่า ทำไมบางประเทศถึงมีความสามารถในเชิงแข่งขันมากนัก ขณะที่อีกหลายชาติกลับทำอย่างนั้นไม่ได้
ดูเหมือนจะเป็นความขัดแย้งอยู่เสมอ
บางคนอาจคิดว่าความสามารถในเชิงแข่งขันของแต่ละชาตินั้น เป็นปรากฏการณ์ในเชิงเศรษฐกิจระดับมหภาค
โดยมีแรงผลักดันจากหลายปัจจัยด้วยกัน อาทิ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา อัตราดอกเบี้ย
และยอดขาดดุลการค้าของรัฐบาล แต่ถ้ามองในแง่นี้ก็มีข้อโต้แย้งได้ในแง่ที่ว่า
บางประเทศยังสามารถเพลิดเพลินกับการสร้างมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้นเรื่อย
ๆ ทั้ง ๆ ที่ค่าเงินของประเทศตนแข็งตัวขึ้นตลอดเวลา (เยอรมนี) หรือยอดขาดดุลงบประมาณพุ่งสูง
(ญี่ปุ่น) และอัตราดอกเบี้ยที่ทะยานสูงขึ้น (เกาหลีใต้)
มีอีกลหายคนแย้งว่า ความสามารถในเชิงแข่งขันเกิดขึ้นได้เพราะปัจจัยจากแรงงานราคาถูก
และหาได้ง่าย แต่ในหลายประเทศอย่างเยอรมนีและสวิตเซอร์แลนด์ ก็ยังรุ่งโรจน์ไปได้
ทั้งที่ค่าแรงสูงลิ่วและมีปัญหาขาดแคลนแรงงานต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน เช่นเดียวกับที่ญี่ปุ่นเผชิญกับปัญหาขาดแคลนแรงงานอยู่ตลอดเวลา
บริษัทของประเทศเหล่านี้ประสบความสำเร็จจากการเอาชนะอุปสรรคด้วยการใช้ระบบการผลิตอัตโนมัติเข้ามาทดแทนแรงงาน
ดังนั้น ความสามารถในเชิงแข่งขันที่เกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่ประเทศนั้นมีค่าแรงราคาแพงมาก
จึงดูเหมือนจะเป็นยิ่งกว่าเป้าหมายสูงสุดที่แต่ละชาติพึงปรารถนาเสียอีก
ในความเห็นของอีกหลายคนคิดว่า ความสามารถในเชิงแข่งขันขึ้นอยู่กับการเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองในแง่นี้ ประเทศที่ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จด้านการค้าระหว่างประเทศสูงสุดอย่าง
เยอรมนี ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี และเกาหลีใต้ ก็ล้วนแต่เป็นชาติที่มีทรัพยากรธรรมชาติจำกัดจำเขี่ยมาก
และยังต้องนำเข้าวัตถุดิบปริมาณมหาศาลด้วย
อีกหลายต่อหลายคนเช่นกันที่โต้แย้งว่า อิทธิพลสำคัญที่สุดต่อความสามารถในเชิงการแข่งขันนั้นอยู่ที่นโยบายของรัฐบาล
แต่บทบาทของภาครัฐในการช่วยส่งเสริมความได้เปรียบของชาตินั้น มักกลับกลายเป็นผลเสียต่อกิจการบริษัทในระยะยาวมากกว่า
การแทรกแซงของรัฐบาลในนโยบายสำคัญ ๆ นั้น มักเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จในระดับสากลอยู่มาก
แม้แต่ในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีก็เช่นกัน
และคำอธิบายสุดท้ายที่มักพูดถึงกันในแง่ของความได้เปรียบเชิงแข่งขัน คือ
ความแตกต่างในเชิงบริหาร การบริหารสไตล์ญี่ปุ่นมีความโดดเด่นและประสบความสำเร็จสูงมากในช่วงทศวรรษ
1980 เช่นเดียวกับสไตล์อเมริกันเคยได้รับการยอมรับในทั่วโลกมาแล้วสมัยทศวรรษ
1950 และ 1960
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของการอธิบายในลักษณะนี้อยู่ที่ความแตกต่างของแขนงอุตสาหกรรมจะเป็นตัวกำหนดความต้องการในสไตล์การบริหารที่ไม่เหมือนกัน
วิธีการบริหารแบบหนึ่งซึ่งถือว่าดีมากในอุตสาหกรรมแขนงหนึ่ง อาจกลายเป็นการบริหารแย่มากในอีกอุตสาหกรรมหนึ่งก็ได้
ตัวอย่างเด่นชัดที่สุด คือ การบริหารสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งได้รับการยอมรับว่าดีเยี่ยมและแข็งแกร่งนั้น
หากพิจารณาในแขนงอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ อย่างเช่น เคมีสินค้าบรรจุภัณฑ์ หรือภาคบริการแล้ว
จะเห็นได้ว่าประสบความสำเร็จในระดับสากลน้อยมาก
หรือถ้าจะมองในแง่ของแรงงานสัมพันธ์แล้ว จะเห็นได้ว่าในเยอรมนีและสวีเดนนั้น
สหภาพแรงงานมีอิทธิพลสูงมาก หากคิดว่าสหภาพแรงงานที่มีอิทธิพลสูงมาก หากคิดว่าสหภาพแรงงานที่มีอิทธิพลสูงนี้จะเป็นตัวกัดกร่อนความได้เปรียบในเชิงแข่งขันละก็เยอรมนีและสวีเดนก็ยังเจริญก้าวหน้าไปได้ด้วยดี
ถ้าอย่างนั้นในเบื้องแรกคงต้องถามกันว่า ประเทศที่มีความสามารถในเชิงแข่งขันนั้นเป็นอย่างไร
?
จะเป็นชาติที่ทุกบริษัทหรืออุตสาหกรรมมีความสามารถในเชิงแข่งขันใช่หรือไม่
?
ถ้าใช่ละก็ จะไม่มีประเทศใดที่เข้าใกล้คุณสมบัติข้างต้นเลย
หรือจะเป็นประเทศที่มียอดได้เปรียบดุลการค้ามหาศาล ?
ถ้าอย่างนั้นละก็สวิสเซอร์แลนด์ถือเป็นประเทศที่ทำการค้าแล้วได้ดุล ส่วนอิตาลีนั้นมียอดเสียเปรียบดุลการค้าอย่างน่ากลัว
แต่ทั้งสองประเทศก็มีรายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้นอย่างน่าพอใจ
ถ้าอย่างนั้นหรือจะเป็นประเทศที่มีส่วนแบ่งตลาดสินค้าส่งออกในทั่วโลกเพิ่มขึ้น
?
กรณีนี้ประเทศที่มีส่วนแบ่งในตลาดส่งออกทั่วโลกลดลงอย่างช้า ๆ ก็สามารถสร้างอัตราเจริญเติบโตของรายได้ประชาชาติต่อหัวต่อปีเพิ่มขึ้นอย่างมากมาแล้ว
ดังนั้น เรื่องส่วนแบ่งในตลาดส่งออกทั่วโลกจึงไม่ใช่สิ่งที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้ทั้งหมด
แนวความคิดที่ใกล้เคียงที่สุดเกี่ยวกับความสามารถในเชิงแข่งขันระดับชาติจึงอยู่ที่
ผลผลิตของประเทศนั่นเอง
ผลผลิตที่ว่านี้ เป็นมูลค่าของผลิตผลที่ผลิตโดยหน่วยของแรงงานหรือเงินทุน
มาตรฐานการครองชีพที่สูงขึ้น จึงขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของกิจการในประเทศนั้น
ๆ ในการที่จะประสบความสำเร็จในผลผลิตทีละมาก ๆ และการเพิ่มผลผลิตในแต่ละช่วงเวลา
ดังนั้น การพยายามหาคำอธิบายเกี่ยวกับความสามารถในเชิงแข่งขันระดับชาติ
จึงเป็นความพยายามหาคำตอบจากคำถามที่ตั้งขึ้นผิด ๆ
ที่ถูกต้อง คือ เราต้องไม่มุ่งเน้นไปที่ระบบเศรษฐกิจโดยรวม แต่ต้องเจาะลงไปเฉพาะแขนงอุตสาหกรรม
ความได้เปรียบระดับนานาชาตินั้นมักเน้นไปที่อุตสาหกรรมเฉพาะแขนงมากกว่า เห็นได้จากการส่งออกรถของเยอรมนีจะมุ่งที่รถหรูสมรรถนะสูง
ขณะที่รถส่งออกของเกาหลี คือ รถเล็กและซับคอนแพคท์
หากจะถามว่า ทำไมแต่ละประเทศจึงประสบความสำเร็จในตลาดโลกในอุตสาหกรรมเฉพาะแขนง
คำตอบอยู่ที่หลักการกว้าง ๆ 4 อย่างที่ช่วยสร้างความได้เปรียบในเชิงแข่งขัน
1. เงื่อนไขขององค์ประกอบ
พูดง่าย ๆ คือ องค์ประกอบที่จำเป็นต่าง ๆ สำหรับการแข่งขันในอุตสาหกรรมแต่ละประเภท
เช่น แรงงาน ทรัพยากรธรรมชาติ เงินทุน และโครงสร้างพื้นฐาน นอกจากนี้ ยังต้องดูด้วยว่า
พวกเขาใช้องค์ประกอบเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน
อันที่จริงแล้ว การริเริ่มเพื่อทดแทนความอ่อนแอนั้น สำคัญยิ่งกว่าการริเริ่มเพื่อฉวยประโยชน์จากความแข็งแกร่งเสียอีก
จะเห็นได้ว่าประเทศที่ประสบความสำเร็จสูงสุดนั้น ล้วนเผชิญกับความเสียเปรียบในเชิงลบทั้งสิ้น
จะมีปัจจัยที่ถือเป็นข้อได้เปรียบอยู่น้อยมาก อาทิ เยอรมนี ญี่ปุ่น และอิตาลี
ล้วนได้ชื่อว่าเป็นผู้ปราชัยในสงคราม ประเทศเหล่านี้ต่างประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน
ค่าแรงพุ่งทะยาน ต้นทุนพลังงานถีบตัวอย่างรวดเร็ว และมีทรัพยากรจำกัดจำเขี่ยมาก
บริษัทญี่ปุ่นนั้นเผชิญอุปสรรคใหญ่หลวงทั้งในแง่ต้นทุนที่ดินแพงลิ่ว รวมทั้งขาดแคลนพื้นที่ตั้งตัวโรงงานอย่างยิ่ง
จึงต้องแก้ปัญหาด้วยการริเริ่มระบบการผลิตแบบ JUST-IN-TIME และใช้เทคนิคการประหยัดเนื้อที่ให้มากที่สุด
ซึ่งยังช่วยลดสินค้าค้างสต็อคได้อย่างมากด้วย
2. เงื่อนไขของความต้องการ
ธรรมชาติของความต้องการในประเทศสำหรับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือบริการนั้น
คุณภาพของความต้องการมีความสำคัญยิ่งกว่าปริมาณเสียอีกเห็นได้จากชาวเยอรมนีจะเอาใจใส่ล้างและขัดเงารถของตัวเองให้แวววับในวันอาทิตย์
เพื่อนำออกขับโชว์ด้วยความเร็วสูงตามประเพณีนิยม จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า รถของเยอรมนีจะประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับในตลาดโลกในแง่ของการเป็นรถที่มีความทนทานและสมรรถนะสูงมาก
ขณะเดียวกับที่อิตาลก็มีชื่อเสียงในแง่ของแฟชั่นเสื้อผ้าทั่วโลกเช่นกัน
3. อุตสาหกรรมเกี่ยวข้องและสนับสนุน
การคงอยู่หรือหายไปของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและอุตสาหกรรมสนับสนุนนั้น
มีบทบาทสำคัญต่อความสามารถในเชิงแข่งขันระหว่างประเทศอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดจากความแข็งแกร่งของสวีเดนในผลิตภัณฑ์เส้นใยเหล็กกล้านั้น
ทำให้สวีเดนได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่แกร่งในการผลิตเหล็กกล้าคุณภาพดีด้วย
4. ยุทธวิธี โครงสร้าง และการแข่งขันของบริษัท
เงื่อนไขของแต่ละประเทศจะเป็นตัวกำหนดว่า กิจการบริษัทได้รับการก่อตั้ง
จัดการ และบริหารอย่างไร รวมทั้งกำหนดธรรมชาติของการแข่งขันภายในประเทศด้วย
ในเยอรมนีนั้น มีบรรดาผู้บริหารระดับอาวุโสมากมายที่มีภูมิหลังด้านวิศวกรรมและเทคนิค
จึงมีแนวโน้มสูงมากที่จะผลิตสินค้าด้วยระบบและมีการปรับปรุงตามกระบวนการ
นำมาซึ่งความสำเร็จในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เทคนิคหรือวิศวกรรมขั้นสูง
หลายประเทศซึ่งมีบทบาทในตลาดโลกระดับแนวหน้านั้น มักมีอุตสาหกรรมหลักภายในประเทศที่มีการแข่งขันสูงมาก
อาทิ ในสวิสเป็นอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ เยอรมนีด้านเคมี สหรัฐฯ ด้านคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์
สำหรับญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศที่อุตสาหกรรมในประเทศมีการแข่งขันกันเองสูงที่สุดในโลกอยู่แล้ว
สำหรับภาวะการแข่งขันทั่วโลกนั้น ระบบผูกขาดหรือการรวมตัวเป็นสมาคม ก็จะพ่ายแพ้ต่อบริษัทที่มาจากประเทศที่มีสภาพแวดล้อมในเชิงแข่งขันสูงกว่า
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสริมอีก 2 อย่างที่มีอิทธิพลต่อระบบของประเทศอย่างมาก
คือ โอกาสและรัฐบาล ปัจจัยในแง่ของโอกาส คือ การพัฒนาที่อยู่นอกเหนือความควบคุมของบริษัทนั้น
ๆ เช่น สงคราม ภาวะทางการเมือง และการฉีกแนวในเทคโนโลยีขั้นพื้นฐาน
ในส่วนของรัฐบาลนั้น ดูเหมือนจะมีความพยายามกำหนดให้เป็นปัจจัยที่ 5 เสมอ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง บทบาทที่แท้จริงของรัฐบาล คือ เข้าไปมีอิทธิพลต่อปัจจัยหรือหลักการทั้ง
4 อย่างที่กล่าวมาข้างต้นนั่นเอง
ประเทศที่มีแนวโน้มว่าจะประสบความสำเร็จในเชิงอุตสาหกรรมนั้น เป็นประเทศที่
"เพชร" หรือ ระบบของปัจจัยหลักทั้ง 4 อย่าง วางอยู่ในลักษณะที่ได้ดุลที่สุด
โดยที่ผลกระทบของปัจจัยหนึ่งจะสร้างเงื่อนไขที่เป็นลูกโซ่ไปสู่ปัจจัยอื่น
ๆ เช่น เงื่อนไขของความต้องการจะไม่สามารถนำไปสู่ความได้เปรียบเชิงแข่งขัน
ยกเว้นความกดดันของภาวะการแข่งขันจะหนักหน่วงเพียงพอที่จะเป็นสาเหตุให้กิจการบริษัทต่าง
ๆ เกิดการตอบสนอง
ประเทศหนึ่ง ๆ จะประสบความสำเร็จในตลาดโลกได้ จึงไม่จำเป็นต้องมีข้อได้เปรียบในปัจจัยหลักทุกข้อก็ได้
โดยเฉพาะในประเทศที่เสียเปรียบในปัจจัยหนึ่งเท่านั้น มักจะมีข้อได้เปรียบในปัจจัยอื่น
ๆ โดดเด่นอย่างมากเป็นสิ่งทดแทนด้วยเช่นกัน
"ญี่ปุ่น" เป็นประเทศที่ถูกหยิบยกขึ้นมาชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในยุคหลังสงครามบ่อยครั้งมาก
และเรื่องราวที่พูดถึงมักเน้นไปที่บทบาทของรัฐบาลและสไตล์การบริหารแบบญี่ปุ่นเป็นหลัก
สำหรับ PORTER แล้วมีแง่มุมการมองความสำเร็จของญี่ปุ่นทีแตกต่างออกไป คือ
ญี่ปุ่นก็เหมือนอีกทุกประเทศในแง่ที่ว่า ประสบความสำเร็จจากความได้เปรียบเชิงการแข่งขันในบางแขนงอุตสาหกรรม
แต่ก็ล้มเหลวในอุตสาหกรรมอีกมากแขนงด้วยกัน ดังนั้นเป็นที่เห็นได้ชัดว่า
อะรไก็ตามที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นไม่สามารถเป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมทั้งหมดได้
ที่สำคัญ คือ การบริหารเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏเป็นความสำเร็จได้
รัฐบาลก็มีบทบาทสำคัญในกระบวนการสร้างความรุ่งโรจน์ แต่บทบาทนั้นก็กำลังเบี่ยงเบน
ซึ่งมีความสำคัญที่แตกต่างจากสิ่งที่เคยปรากฏและยอมรับกัน
เงื่อนไขขององค์ประกอบ สิ่งที่สำคัญเหนือปัจจัยที่มีอยู่ก็คือ ญี่ปุ่นสามารถสร้างและยกระดับปัจจัยที่จำเป็นในอัตราซึ่งเหนือกว่าทุกประเทศมาก
การสะสมเงินทุนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลจากอัตราการออมที่สูงเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ ยังมีการยกระดับทรัพยากรบุคคลอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง บริษัทญี่ปุ่นยังมีความสามารถพิเศษในแง่การแสวงหาแหล่งเทคโนโลยีจากต่างประเทศด้วย
ในบางกรณีสิ่งที่สำคัญที่สุดในปัจจัยของการสร้างสรรค์ในญี่ปุ่น คือ ข้อมูล
จะเห็นได้ว่าทุกบริษัทและญี่ปุ่นทุกคนต่างมีข้อมูลทางเศรษฐกิจอยู่ในสมองอย่างเต็มปรี่
ข้อมูลที่ว่านี้มาจากสื่อมวลชน หน่วยงานภาครัฐ และองค์กรอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน
ซึ่งต่างแข่งขันกันออกรายงานหรือหนังสือกันไม่ขาดสาย ข้อมูลเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการแข่งขันระหว่างบริษัทญี่ปุ่นด้วยกัน
มันทำให้พวกเขาต้องมองไปข้างหน้า และต้องตรวจสอบความก้าวหน้ากับคู่แข่งตลอดเวลา
เงื่อนไขของความต้องการ ตลาดที่มีบทบาทสำคัญในการชี้นำการพัฒนาอุตสาหกรรม
คือ ตลาดในประเทศไม่ใช่ตลาดต่างประเทศ เมื่อมีการพัฒนาถึงระดับหนึ่งในภายหลังแล้วเท่านั้นที่การส่งออกจึงเข้ามามีบทบาท
ตลาดในประเทศของญี่ปุ่นนั้นค่อนข้างใหญ่มากมีประชากรราว 120 ล้านคน สินค้าประเภทคอนซูเมอร์อิเล็คทรอนิกส์เป็นเครื่องบอกสถานภาพที่สำคัญมากสำหรับชาวญี่ปุ่น
จากการที่มีพื้นที่อยู่อาศัยจำกัดจำเขี่ย มีเวลาว่างน้อยมาก และยังไม่สามารถบริโภค
ที่อยู่อาศัยได้อย่างใจต้องการ ชาวบ้านจึงต้องหันมาบริโภคสินค้าประเภทอื่น
ๆ เป็นการทดแทน อาทิ รถ กล้องถ่ายรูป และสินค้าคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งพวกเขาต้องการสินค้าที่มีคุณภาพสูงและบริการที่ดีเยี่ยม
ชาวญี่ปุ่นจะปฏิเสธไม่ยอมซื้อสินค้าที่มีตำหนิเพียงนิดเดียว และพวกเขาไม่รีรอที่จะเปลี่ยนยี่ห้อสินค้า
ถ้าพิสูจน์ได้อย่างเด่นชัดถึงความแตกต่างในคุณภาพ
เพราะเหตุที่ตลาดขนาดใหญ่ในประเทศถูกซอยย่อยผูกขาดในหมู่บริษัทหลายแห่งด้วยกัน
ทำให้บริษัทญี่ปุ่นไม่ได้ยินดีปรีดาหรือมีความสุขกับตลาดในบ้านมากนัก พวกเขาได้รับแรงผลักดันให้ต้องขยายตลาดสู่ต่างประเทศต้องพัฒนาสู่ความเป็นสากล
นอกจากนี้ ภาวะตลาดในประเทศอิ่มตัวอย่างรวดเร็ว ก็นำไปสู่ความพยายามอย่างหนักหน่วงของบริษัทญี่ปุ่นที่เป็นคู่แข่งกัน
ในการต้องพัฒนาสินค้ารุ่นใหม่ ๆ ออกวางตลาด และทำให้ช่วงเวลาของการพัฒนาสินค้ารุ่นใหม่นั้นสั้นลงด้วย
แต่เงื่อนไขความต้องการในประเทศก็เป็นตัวอธิบายได้อย่างหนึ่งว่า ทำไมญี่ปุ่นถึงไม่ประสบความสำเร็จมากนักในระดับระหว่างประเทศ
เห็นได้จากความต้องการสินค้าประเภทอาหารในญี่ปุ่นเอง ซึ่งจะเน้นที่ข้าวและปลาสดเป็นหลักนั้น
มีความแปลกแยกจากประเทศสำคัญอื่น ๆ เป็นส่วนใหญ่ทำให้บริษัทญี่ปุ่นที่ทำกิจการประเภทนี้เสียเปรียบคู่แข่งเมื่อออกสู่ตลาดโลก
อุตสาหกรรมเกี่ยวข้องและสนับสนุน อุตสาหกรรมของญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จมักมีการเติบโตที่แยกตัวออกจาอุตสาหกรรมเกี่ยวข้องอื่น
ๆ นอกจากนี้ บริษัทญี่ปุ่นก็มีการขยายแนวธุรกิจสู่อุตสาหกรรมเกี่ยวข้องมากขึ้น
เช่น ในธุรกิจผลิตเครื่องโทรสารปรากฏว่าคู่แข่งบางรายเป็นริษัทผลิตกล้องถ่ายรูป
อาทิ แคนนอน ริโก มินอลต้า และโคนิก้า บางรายเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์สำนักงาน
เช่น มัตซูชิตะ ชาร์ป โตชิบา และบางรายจากวงการโทรคมนาคม ได้แก่ เอ็นอีซี
ฟูจิตสุ โอกิ โดยคู่แข่งหน้าใหม่ต่างนำความเชี่ยวชาญจากแขนงธุรกิจอื่นเข้ามาใช้
เป็นการกระตุ้นการริเริ่มสร้างสรรค์มากขึ้น
บริษัทญี่ปุ่นขนาดใหญ่ต่างมีเครือข่ายของซับคอนแทรคเตอร์และซัพพลายเออร์ขนาดเล็กและขนาดกลางมากมาย
โดยที่บริษัทและซัพพลายเออร์ของตนมักมีที่ตั้งอยู่ใกล้กัน ทำให้การไหลเวียนของข้อมูลเป็นไปอย่างเสรี
บริการที่ดีเลิศ และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ยุทธวิธี โครงสร้าง และการแข่งขันของบริษัท ในบริษัทการผลิตของญี่ปุ่นที่อยู่ระดับแนวหน้ามากมาย
จะเห็นได้ว่ามีวิศวกรอยู่ในตำแหน่งบริหารระดับสูงในกรณีนี้ญี่ปุ่นมีความเชื่อมั่นในงานวิจัยและพัฒนาอย่างแรงกล้า
รวมทั้งในอุปกรณ์และเครื่องมือล้ำสมัยที่สุด ซึ่งถือเป็นทัศนคติที่เกือบจะเป็นสากลเลยทีเดียว
บริษัทญี่ปุ่นเป็นผู้พัฒนายุทธวิธีของการทำให้เป็นมาตรฐานและการผลิตทีละมาก
ๆ ทำให้บริษัทเหล่านี้มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันในเบื้องแรก ด้วยการผลิตสินค้ารุ่นที่มีมาตรฐานทีละมากๆ
รวมทั้งการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตจากที่ใช้งานฝีมือเป็นเทคนิคการผลิตทีละหมู่หรือประเภท
แล้วไปสู่เทคนิคของสายการผลิตในขั้นต่อไป เมื่อเวลาผ่านไปก็สามารถประสบความสำเร็จในการผลิตด้วยระบบอัตโนมัติขั้นสูงขึ้นเรื่อย
ๆ
บริษัทญี่ปุ่นตั้งเป้าหมายของพวกเขาในแง่ของปริมาณการผลิตและส่วนแบ่งตลาด
บริษัทเหล่านี้จะเปรียบเทียบคู่แข่งของตนในแง่ของส่วนแบ่งตลาดบนพื้นฐานต่อเนื่อง
และการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดถือเป็นเรื่องน่าละอายอย่างยิ่ง และทัศนคตินี้ได้ขยายวงกว้างไปสู่ส่วนแบ่งในการผลิตระดับโลกด้วย
ปัจจัยของแรงงานและเงินทุนก็เป็นพันธะสำคัญต่อบริษัทและอุตสาหกรรมในแง่ที่ว่า
หากอัตราดอกเบี้ยต่ำ ก็จะช่วยลดต้นทุนของเงินทุนให้ต่ำลงและเป็นการส่งเสริมการลงทุนด้วย
อาจพูดได้ว่าปัจจัยสำคัญที่สุดแห่งความสำเร็จของญี่ปุ่น คือ ธรรมชาติของการแข่งขันภายในประเทศนั่นเอง
บรรดาคู่แข่งต้องศึกษากันและกันด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง และการเคลื่อนไหวก็ต้องเป็นไปอย่างสอดคล้องรวดเร็ว
ทุก ๆ คนในแต่ละองค์กรจะเน้นที่การปะทะกับคู่แข่งสำคัญอย่างจริงจัง อาทิ
โซนี่มีสโลแกนสุดฮิตของตนเอง คือ "BMW" ซึ่งหมายถึง "BEAT
MATSUSHITA WHATEVER" สำหรับบริษัทญี่ปุ่นแล้ว การต้องแข่งขันกับคู่แข่งต่างชาตินั้น
มักหมายถึงความโล่งใจมากกว่าเสมอ
ขณะที่ภาวะแข่งขันภายในประเทศมีความเข้มข้นสูงมากในทุกแขนงอุตสาหกรรม เป็นที่น่าสังเกตว่า
ญี่ปุ่นจะประสบความสำเร็จในตลาดต่างประเทศด้วย อย่างไรก็ตาม ในแขนงอุตสาหกรรมสำคัญ
ๆ และมีขนาดใหญ่ เช่น ก่อสร้าง เกษตร อาหาร และกระดาษ ก็ยังมีข้อจำกัดในแง่ของการแข่งขัน
ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่า เกือบจะทุกแขนงอุตสาหกรรมเหล่านี้ แทบไม่ประสบความสำเร็จในตลาดต่างประเทศเลย
รัฐบาล สำหรับการสร้างความสำเร็จในระยะแรกนั้น รัฐบาลจะเข้ามามีบทบาทสูงมากและเป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งต่าง
ๆ ให้ รวมทั้งจำกัดการเข้ามาแข่งขันของต่างชาติ การควบคุมทิศทางของเงินทุน
การตรึงระดับอัตราแลกเปลี่ยน แต่ในอุตสาหกรรมเหล็กกล้า รถยนต์ และคอมพิวเตอร์
บริษัทญี่ปุ่นกลับไม่เต็มใจจะผูกมัดตัวเองกับแผนรวมตัวให้เป็นปึกแผ่นของรัฐบาล
ซึ่งในภายหลังก็สามารถพิสูจน์ให้ประจักษ์กันว่า เป็นการกระทำที่ถูกต้อง เพราะเมื่อต้องแข่งขันกันหนักในบ้านของตัวเองแล้ว
กิจการเหล่านี้ประสบความสำเร็จด้วยดีในตลาดต่างประเทศด้วย
ในระยะต่อมา การเข้าแทรกแซงโดยตรงของรัฐบาลก็ลดลงอย่างมาก จนกระทั่งรัฐบาลเหลือบทบาทสำคัญที่สุดเพียงแค่การคอยช่วยชี้นำเท่านั้น
ด้วยการที่รัฐบาลจะตอกย้ำถึงความท้าทายที่อุตสาหกรรมแต่ละแขนงต้องเอาชนะให้ได้
จากโครงการเผยแพร่รายงานและการรณรงค์อย่างหนัก ขณะเดียวกันก็คอยกระตุ้นให้บริษัทเหล่านี้มีการปฏิบัติตามด้วย
เช่น โครงการรณรงค์ให้เอาใจใส่กับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
เป็นที่น่าสังเกตว่า นโยบายรัฐบาลสามารถสร้างความสำเร็จให้ญี่ปุ่นได้มากเพียงใด
ก็มีผลต่อการทำลายภาวะแข่งขันได้มากเพียงนั้น รวมทั้งเป็นการปกป้องบริษัทที่ไม่มีประสิทธิภาพในเชิงแข่งขันด้วย
ซึ่งต่อมาจะเป็นการทำให้ผลผลิตโดยรวมของเศรษฐกิจญี่ปุ่นลดลงด้วย
หากมองกันจริง ๆ ด้วย ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีลักษณะของเศรษฐกิจ 2 ระบบในหลาย
ๆ แง่ด้วยกัน ระบบหนึ่งเป็นการแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ขณะเดียวกันที่อีกระบบหนึ่งก็แทบปราศจากการแข่งขันและความไร้ประสิทธิภาพก็มีอยู่อย่างแพร่หลาย
สำหรับกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ของเอเชีย หรือ "นิกส์" ซึ่งผงาดขึ้นเป็นกำลังสำคัญในการแข่งขันระดับนานาชาตินั้น
ดูเหมือน "เกาหลีใต้" จะเป็นชาติที่มีศักยภาพดีที่สุด ในการที่จะก้าวสู่และบรรลุสถานภาพขั้นสูง
และการพัฒนาความได้เปรียบระดับชาติในอุตสาหกรรมสำคัญหลาย ๆ แขนง
เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศนิกส์อื่น ๆ คือ สิงคโปร์ ฮ่องกง และไต้หวันแล้ว
เกาหลีใต้ได้ชื่อว่า ประสบความสำเร็จโดยสมบูรณ์ ในขั้นของการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ผลักดันด้วยการลงทุนในช่วงทศวรรษ
1980 ด้วยการใช้เส้นทางพัฒนาที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ในการจำกัดบทบาทของบริษัทข้ามชาติ
การพยายามสร้างรากฐานแก่อุตสาหกรรมดั้งเดิม และการกู้เงินมหาศาลจากต่างประเทศ
เพื่อเป็นแหล่งเงินสำคัญของการลงทุนอย่างหนักหน่วง
ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้เกาหลีใต้โดดเด่นออกมา คือ ภาวะการแข่งขันในประเทศซึ่งเข้มข้นมากและความสามารถในการรับและดัดแปลงเทคโนโลยีต่างชาติ
ในอุตสาหกรรมเฉพาะแขนงซึ่งเกาหลีประสบความสำเร็จด้วยดีนั้น สะท้อนให้เห็นถึงการเลียนแบบญี่ปุ่น
และมีลักษณะพิเศษที่กำหนดโดยสินค้าที่มีมาตรฐานและผลิตทีละมาก ๆ ต้องการการติดต่อจากลูกค้าค่อนข้างน้อย
และสามารถใช้ประสิทธิภาพของเทคโนโลยีจากคู่แข่งตะวันตกที่กำลังง่อนแง่น
ถึงอย่างไรก็ตาม ความสามารถของเกาหลีในการสร้างข้อได้เปรียบเชิงแข่งขันระดับชาติก็ยังคลุมเครืออยู่
มันขึ้นอยู่กับว่า เงื่อนไขของความต้องการและอุตสาหกรรมเกี่ยวข้องหรือสนับสนุน
จะสามารถนำมาเป็นบทบาทสำคัญหรือไม่ และขึ้นอยู่กับความสามารถของเกาหลีเองในการที่จะต้านทานต่อคู่แข่งได้
สำหรับสิงคโปร์นั้น ขณะที่สร้างความรุ่งเรืองก้าวหน้าอย่างรวดเร็วด้วยดี
ก็ยังได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่ระบบเศรษฐกิจต้องอาศัยแรงผลักดันจากปัจจัยเป็นหลัก
สถานภาพของสิงคโปร์เองนั้น ส่วนใหญ่มีบทบาทในเชิงเป็นฐานการผลิตให้บริษัทข้ามชาติมากกว่า
โดยมีสิ่งดึงดูดใจในด้านต้นทุนค่อนข้างต่ำ แรงงานมีการศึกษาดี และมีโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภครองรับอย่างเพียงพอ
แม้บริษัทระดับยักษ์ของสิงคโปร์เองยังไม่สามารถพัฒนาไปถึงระดับก้าวกระโดดได้อย่างเด่นชัด
นอกจากนี้ ยังไม่ค่อยได้รับความสนใจมากนักจากนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม
การที่สิงคโปร์สามารถยกระดับมาตรฐานการครองชีพขึ้นมาได้นั้น มีสาเหตุมาจากการยกระดับคุณภาพของทรัพยากรบุคคล
และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อยกระดับคุณภาพของงาน จากสิ่งเหล่านี้เองทำให้สิงคโปร์มีความโดดเด่นจากประเทศคู่แข่งพอสมควร
ขณะนี้สิงคโปร์ยังคงเป็นฐานการผลิตของต่างชาติอยู่ก็จริง แต่ศักยภาพในเชิงบวกก็มีอยู่สูงมากจนกว่าจะสามารถพัฒนาตนเองให้กลายเป็นฐานการผลิตของบริษัทในประเทศอย่างแท้จริง