หุ้นคึกรับเชือด"แม้ว"ห่วงม็อบเดือดจี้รัฐคุมให้อยู่


ผู้จัดการรายวัน(12 มิถุนายน 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

นักลงทุนยิ้มรับ คตส.สั่งอายัดทรัพย์"ทักษิณ" กว่า 5 หมื่นล้านบาท ฝรั่งไล่เก็บหุ้นเพิ่มกว่า 3.6 พันล้าน นักวิเคราะห์มองต่างหุ้นพุ่งต่อหรือร่วงหวั่นสถานการณ์การเมืองบานปลาย หากกลุ่มประท้วงไม่หยุดจนเกิดเหตุปะทะเหมือนช่วงวันหยุด ขณะที่เตือนนักลงทุนติดตามข่าวประเทศจีนจะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ ชี้หากเกิดขึ้นตลาดหุ้นทั่วเอเชียรูดแน่ ด้านนักวิชาการ เตือนรัฐควบคุมสถานการณ์ให้อยู่หวั่นกระทบเศรษฐกิจ

ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯวานนี้ (11 มิ.ย 50) ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างแรงตั้งแต่เปิดการซื้อขายช่วงเช้า เนื่องจากช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาสถานการณ์ทางการเมืองเกิดระอุขึ้นเมื่อกลุ่มผู้ประท้วงแนวร่วมประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหลังมีการเคลื่อนย้ายจากสนามหลวงมายังกองทัพบกทำให้นักลงทุนกังวล ก่อนที่ในช่วงบ่ายดัชนีจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ในแดนบวกรับกระแสข่าวว่า คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดผลเสียแก่รัฐ (คตส.) เตรียมอายัดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรีและพวกเป็นเงินกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 754.15 จุด เพิ่มขึ้น 2.15 จุด หรือ 0.29 % ขณะที่จุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 754.42 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 744.67 จุด มูลค่าการซื้อขาย 15,048.36 ล้านบาท

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3,657.28 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 920.98 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 2,736.30 ล้านบาท โดยหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายมากที่สุด คือ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ที่ราคาปรับตัวลดลง 2 บาท หรือ 0.76% มาปิดที่ 262 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,551.50 ล้านบาท และ ธนาคารสินเอเซีย จำกัด (มหาชน) หรือ ACL ที่ราคาปิดที่ 5.50 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือ 1.79 % มูลค่าการซื้อขาย 775.96 ล้านบาท

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้มีความผันผวน เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมือง ประกอบกับยังไม่มั่นใจต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น หลังกลุ่มชุมนุมประท้วงมีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา รวมถึงการขายหุ้นกลุ่มพลังงานออกมาหลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง นอกจากนี้ยังรวมถึงกระแสข่าวที่ว่าธนาคารเพื่อความร่วมมือแห่งประเทศญี่ปุ่น (เจบิก) จะไม่มีการปล่อยกู้โครงการรถไฟฟ้าให้กับประเทศไทย

ทั้งนี้ ในช่วงบ่ายรัฐบาลมีการประกาศว่าหาก เจบิกยังไม่อนุมัติเงินกู้ให้ รัฐบาลก็ยืนยันว่าจะมีการก่อสร้างต่อไป โดยจะหาเงินกู้จาแหล่งอื่นๆ จึงทำให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ ปิโตรเคมี ประกอบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศยังเข้ามาซื้อหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนกระแสข่าวว่าคณะกรรมการคตส.อาจจะใช้อำนาจในการอายัดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัว นั้น ส่วนตัวมองคดีดังกล่าวจะต้องใช้เวลาอีกนาน เพราะขณะนี้คดียังไม่ได้ส่งฟ้อง และเพิ่มเข้าสู่กระบวนการศาลเพียง 2-3 คดีเท่านั้น ซึ่งหากมีการดำเนินการดังกล่าวจึงอาจจะทำให้เกิดความไม่พอใจและจะมีการชุมนุมเกิดขึ้น

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจาก คาดว่านักลงทุนต่างประเทศจะกลับเข้ามาซื้อสุทธิ หลังผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐปรับตัวลดลง ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อหุ้นในตลาดหุ้นเอเชียมากขึ้นโดยมองแนวรับที่ระดับ 748-750 จุด แนวต้านที่ระดับ 758-760 จุด

โบรกฯห่วงรัฐประหารซ้ำ

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ปัจจัยทางการเมืองน่าจะกลายมาเป็นปัจจัยลบทางจิตวิทยาที่กดดันตลาดในช่วงระยะสั้น และจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มากกว่าตอนที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองก่อนการรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน เนื่องมาจากในขณะนี้นักลงทุนเกิดการกังวลว่า การชุมนุมประท้วงจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือเกิดการรัฐประหารซ้ำอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้าที่สถานการณ์ทางการเมืองน่าจะเกิดความรุนแรงมากที่สุด ทำให้ในระยะสั้นการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ น่าจะชะลอตัวลง

"แม้ว่าปัจจัยทางการเมืองจะรุนแรงมากขึ้น แต่น่าจะทำให้ดัชนีชะลอตัวลงเท่านั้น ไม่น่าจะทำให้ดัชนีลดลงได้มากนัก ขณะที่ยังต้องติดตามว่าประเทศจีนจะมีการประกาศเพิ่มดอกเบี้ยจริงหรือไม่ ซึ่งถ้าเกิดจริงจะทำให้หุ้นตกได้ทั่วเอเซีย"นายอดิศักดิ์กล่าว

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ น่าจะเป็นปัจจัยที่กดดันตลาดน้อยกว่าช่วงก่อนการประกาศคำตัดสินคดียุบพรรค ซึ่งในช่วงนั้นนักลงทุนชะลอการลงทุนเพราะขาดความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง เนื่องจากไม่ทราบถึงแนวทางของภาครัฐประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับกระแสการต่อต้านและการชุมนุมประท้วงที่เริ่มรุนแรงมากขึ้น

ทั้งนี้ แม้กระแสการต่อต้านและการชุมนุมประท้วงจะเริ่มมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นจากที่ผ่านมา แต่ก็มีความแน่ชัดเรื่องแนวทางการปฎิบัติของภาครัฐ ทำให้นักลงทุนน่าจะยังคงเชื่อมั่นอยู่ในระดับหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลให้ดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่น่าจะปรับตัวลดลงไปจนถึงระดับก่อนหน้าที่จะประกาศคำตัดสินอีกครั้ง แต่ในระยะสั้นอาจจะมีการชะลอการลงทุนและอาจจะเกิดการปรับฐานขึ้นได้

เจบิกไม่ปล่อยกู้ ทำหุ้นกลุ่มก่อสร้างร่วง

นักวิเคราะห์บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากข่าวเรื่องที่ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งประเทศญี่ปุ่น หรือ เจบิก อาจยังไม่พร้อมปล่อยกู้ให้แก่รัฐบาลไทย เพื่อใช้ในการสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงได้ทันในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถเปิดประมูลได้ทันกำหนดในเดือนสิงหาคมเช่นกัน ทำให้ราคามีการปรับตัวลดลงค่อนข้างรุนแรงในช่วงเช้า ทั้งนี้คาดว่าเจบิกคงจะรอให้มีการเลือกตั้งก่อน จึงจะอนุมัติการปล่อยกู้ เพราะในฐานะเจ้าหนี้คงต้องดูก่อนว่าประเทศที่ปล่อยกู้นั้นมีความปลอดภัยทางการเงินขนาดไหน

ทั้งนี้ หลังจากนี้ต้องรอการประเมินมูลค่าในการลงทุนของรถไฟฟ้าสายสีแดงจะใช้เงินกู้อย่างไร เพราะสายสีแดงเป็นเงินกู้จากเจบิกส่วนหนึ่ง และกู้ในประเทศส่วนหนึ่ง แต่กู้ในประเทศเป็นส่วนใหญ่จึงยังไม่กระทบมากเหมือนสีม่วง เพราะถ้าเป็นสายสีม่วงกับน้ำเงินจะต้องใช้เงินจากเจบิกเยอะ

นักวิชาการ ติงรัฐเร่งควบคุมสถานการณ์

นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันว่า หากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมการประท้วงให้อยู่ในกรอบการควบคุมจนเกิดเหตุการณ์เลวร้ายและเลวร้ายลง จนรัฐบาลจำเป็นต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน รวมทั้งร่างรัฐธรรมนูญไม่สามารถประกาศใช้ และไม่มีการเลือกตั้งภายในปีนี้ จะทำให้ประชาชนและนักลงทุนไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ ทำให้กระทบภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะฉุดให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้อยู่ที่ระดับ 3.5-4 % และเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก

“ในฐานะคนไทยอยากเห็นความสมานฉันท์ อยากให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว มีกฎหมายรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้งและไม่เกิดเหตุการณ์เลวร้าย ทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 4% รวมทั้งเศรษฐกิจจะเติบโตชัดเจนในปี 2551 จึงอยากเรียกร้องทุกฝ่ายพิจารณาบนพื้นฐานความสมานฉันท์ เพื่อไม่ให้ประเทศชาติวิกฤตไปมากกว่านี้” นายอัทธ์กล่าว


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.