"หมอบุญ"ทุ่มอีก100ล.ซื้อหุ้นเพิ่มหลังสิ้นยุค"ทักษิณ"


ผู้จัดการรายวัน(7 มิถุนายน 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

ตลาดหุ้นสุดคึก วอลุ่มทะลุ 2 หมื่นล้าน แม้ดัชนีสุดสวิงตลอดทั้งวัน "หมอบุญ" เตรียมทุ่มซื้อหุ้นเพิ่มอีก 100 ล้านบาท มั่นใจเศรษฐกิจดีถึงเลือกตั้ง พร้อมเล็งใช้เงินทุน 500 ล้านบาท เทกโอเวอร์ 3 กิจการต่อยอดธุรกิจ มั่นใจจบดีลภายในปีนี้ ก่อนจะเดินหน้าดัน "ราชธานี-ปิยะเวท" เข้าจดทะเบียนใน 2 ปีข้างหน้า ด้าน "เอกยุทธ" เปลี่ยนพฤติกรรมเทรดหุ้นเล่นสั้นลง เหตุห่วงการเมืองไม่จบปัญหา ส่วน "มาริษ" คาดดัชนีสิ้นปี 800 จุด ลุ้นเลือกตั้งทันปีนี้ ขณะที่ ก.ล.ต.หนุนตั้งกองทุน FIF รูปแบบใหม่เน้นลงทุนอสังหาฯ-อนุพันธ์-เฮดจ์ฟันด์

ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (6 มิ.ย.) ดัชนีแกว่งตัวขึ้นลงสลับกันในแดนบวกและลบก่อนจะปรับตัวลดลงมาปิดที่ 759.42 จุด ลดลง 1.17 จุด หรือ 0.15% โดยจุดสูงสุดอยู่ที่ 766.89 จุด และต่ำสุดอยู่ที่ 756.77 จุด มูลค่าการซื้อขาย 22,603.48 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 73.09 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 832.46 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 759.37 ล้านบาท

นายแพทย์บุญ วนาสิน นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้นทำให้ตลาดหุ้นเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยส่วนตัวพร้อมจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มโดยจะเข้ามาลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 50-100 ล้านบาท จากปัจจุบันพอร์ตที่ลงทุนในประเทศเหลือต่ำกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มที่น่าสนใจยังเป็นกลุ่มธนาคาร พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศกว่า 17 ประเทศยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง

"ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้งที่น่าจะเกิดขึ้นได้ในช่วงปลายปีน่าจะอยู่ทิศทางขาขึ้น แม้ว่าในช่วงสั้นๆ อาจจะมีการปรับตัวลดลงบ้าง ขณะที่ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาช่วงที่นักลงทุนรอความชัดเจนกรณีคำตัดสินยุบพรรคการเมืองถึงปัจจุบันพอร์ตลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ประมาณ 5-6%"

สำหรับมุมมองทางด้านเศรษฐกิจ ยังเชื่อว่าการส่งออกยังเป็นปัจจัยหลักในการเติบโตของเศรษฐกิจแม้ว่ากำลังซื้อ และความเชื่อมั่นใจการลงทุนในประเทศจะลดลง ประกอบกับปัญหาในเรื่องการเบิกจ่ายงบของรัฐบาลหากสามารถเร่งดำเนินการได้ในเวลาอันสั้นจะส่งผลดีทั้งต่อระบบเศรษฐกิจและตลาดหุ้น

นายเอกยุทธ อันชัญบุตร นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงนี้รูปแบบของการลงทุนจะเปลี่ยนไปจากเดิม คือ ลงทุนระยะสั้นมากขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงเพราะนักลงทุนต่างชาติอาจจะขายทำกำไรออกมาหลังจากก่อนหน้านี้มีการเข้ามาซื้อหุ้นในตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก

ทั้งนี้ สถานการณ์ในประเทศที่ยังมีข่าวลืออย่างต่อเนื่องอาจจะทำให้ความเสี่ยงในการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนักลงทุนในประเทศที่ได้รับข้อมูลมากกว่านักลงทุนต่างชาติต้องระมัดระวังในการพิจารณาเลือกลงทุน

หมอบุญเตรียมเทกฯ3บริษัท

นายแพทย์บุญ กล่าวถึงความคืบหน้าในการนำบริษัท ราชธานี บ้านและที่ดิน จำกัด ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท ว่า ปัจจุบันส่วนตัวและพันธมิตรถือหุ้นรวมมากกว่า 80% โดยคาดว่ารายได้ในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 4,000 -5,000 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นในอนาคตโดยได้รับแรงหนุนจากโครงการที่สมุย

ส่วนโรงพยาบาทปิยะเวท ทุนจดทะเบียน 800 ล้านบาท แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากยอดการรักษาพยาบาลของประชาชนในประเทศโดยคาดว่ารายได้ในปีนี้จะลดลดจากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตที่ 25% เหลือ 15% ขณะที่กำไรสุทธิคาดว่าจะอยู่ที่ 5-10% โดยในปีที่ผ่านมาโรงพยาบาลมีรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท ขณะที่กำไรอยู่ที่ 70 ล้านบาท โดยทั้ง 2 บริษัทคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนได้ในอีก 1-2 ปีนี้

นอกจากนี้ ส่วนตัวอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อซื้อกิจการบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ 2-3 บริษัทโดยคาดว่าจะต้องใช้เงินประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ สำหรับบริษัทดังกล่าวจะเป็นบริษัทที่สามารถต่อยอดธุรกิจของบริษัทในปัจจุบัน

ก.ล.ต.หนุนตั้งกองFIFรูปแบบใหม่

วานนี้ (6 มิ.ย.) มีการสัมมนาหัวข้อ "เงินไทยไปลงทุนนอก ทางเลือกใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง" ซึ่งจัดขึ้นเพื่อสนับสนุนให้มีการกระจายเงินลงทุนไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น โดยนายประเวช องอาจสิทธิกุล ผู้ช่วยเลขาธิการอาวุโส สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต.มีแนวคิดที่จะผ่อนกฎเกณฑ์การจัดตั้งกองทุนเพื่อไปลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ลงเพื่อสนับสนุนให้มีกองทุนประเภทเหล่านี้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็พร้อมเปิดกว้างสำหรับทุนเอฟไอเอฟในรูปแบบใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีมาก่อนนั้น ซึ่งในการพิจารณาอนุมัติคงต้องดูความพร้อมของผู้ประกอบการรวมถึงผู้ลงทุนประกอบด้วย

นางอาภรณ์ ชีวะเกรียงไกร ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและวางแผน กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า กบข. อยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนในกองทุนประเภทอื่นๆ ทั้งการลงทุนผ่านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมอนุพันธ์ กองทุนบริหารความเสี่ยง(เฮดจ์ฟันด์) และกองทุนที่ลงทุนในบริการพื้นฐานของประเทศ(อินฟาสตรัคเจอร์)

นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวว่า พัฒนาการของกองทุนเอฟไอเอฟถือว่าดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีหลังมานี้ ผู้ลงทุนให้ความสนใจกับการลงทุนในกองทุนประเภทนี้กันมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากตลาดหุ้นไทยไม่สามารถให้ผลตอบแทนได้ในระดับที่ดีนัก ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศหลายแห่งให้ผลตอบแทนที่จูงใจ

อย่างไรก็ตาม สำหรับภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย มองว่าหลังจากมีความชัดเจนเกี่ยวกับการยุบพรรค หลายบริษัทปรับเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้ไปบ้างแล้ว ซึ่งบางรายมองว่าดัชนีมีโอกาสขยับขึ้นไปถึง 800 จุด หรือบางรายก็มีการปรับดัชนีไปถึง 1,000 จุดไปแล้ว โดยในส่วนของไอเอ็นจีเอง มองว่า สิ้นปีนี้ดัชนีน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 800 จุด แต่สิ่งที่จะต้องจับตาดูหลังจากนี้ คือ การเลือกตั้ง ว่าจะสามารถทำได้เร็วขึ้น หรือเป็นไปตามที่รัฐบาลประกาศไว้ในช่วงปลายปีหรือไม่

ด้านนางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ ฝ่ายตลาดการเงินและบริหารเงินสำรอง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงทิศทางค่าเงินบาทว่า ในช่วงที่ผ่านมายังเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับค่าเงินในภูมิภาค ซึ่งในภาพรวมแล้วเชื่อว่าในปีนี้ค่าเงินบาทจะผันผวนน้อยกว่าปีที่แล้ว ส่วนเงินลงทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ ยังไม่อยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง ซึ่งการที่เรามีเงินไปลงทุนในต่างประเทศด้วย ช่วยให้เกิดความสมดุลและลดแรงกดดันที่จะส่งผลให้ค่าเงินบาทผันผวนได้


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.