|
"เมเจอร์"สยายปีกสู่เมืองท่องเที่ยวผุดอสังหาฯครบวงจรกลางพัทยา-เล็งปลายปีเข้าตลาดหุ้น
ผู้จัดการรายวัน(6 มิถุนายน 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
"เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์" เดินหน้าโครงการหรู ไม่หวั่นตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว เชื่อปลายปีเศรษฐกิจฟื้นหลังการเมืองคลีคลาย เตรียมเปิดเพิ่ม 3 โครงการในปีนี้ พร้อมเปิดตลาดใหม่เมืองพัทยาเนื้อที่กว่า 10 ไร่ พัฒนาเป็นมิกซ์โปรดักซ์ทั้งคอนโดฯ-โรงแรม - ศูนย์การค้า ส่วนอีก 2 โครงการกลางเมืองกรุงเทพฯ ยันเดินแผนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ไตรมาส 4
ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นับจากต้นปีที่ผ่านมา ตลาดคอนโดมิเนียมระดับหรู(ไฮเอ็น)มีการชะลอตัวลงไปบ้างจากปี 2549 ซึ่งอัตราการขายยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่จะมีจำนวนลดลงบ้างเล็กน้อยเท่านั้น และเชื่อว่าสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มคลีคลาย จะทำให้กำลังซื้อกลับมาในช่วงปลายปีนี้
ทั้งนี้ ในปี 2550 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีก 3 โครงการ ซึ่งในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะขยายตลาดออกไปสู่หัวเมืองท่องเที่ยว จากเดิมพัฒนาเฉพาะในเขตกลางเมืองกรุงเทพ โดยในช่วงไตรมาสแรกได้ลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียมในเมืองหัวหิน พัฒนาเป็นโลว์ไรส์คอนโดฯภายใต้ชื่อ "มิคโคนอส" เป็นอาคารสูง 8 ชั้น 3 อาคาร บนเนื้อที่ 2 ไร่ จำนวน 122 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 90%
" ยอดขายดังกล่าว นับว่าบริษัทประสบความสำเร็จอย่างมากในการทดสอบตลาดใหม่ ทำให้มีความมั่นใจที่จะพัฒนาโครงการต่อๆ ไปในเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ อีก" ดร.สุริยากล่าว
อย่างไรก็ตาม เมเจอร์ฯมีแผนที่จะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในเมืองท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ภายหลังจากที่โครงการมิคโคนอสประสบความสำเร็จ โดยล่าสุดอยู่ระหว่างวางแผนพัฒนาโครงการที่พัทยา จ.ชลบุรี บนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ โดยจะพัฒนาเป็นโครงการระดับไฮเอ็น และโครงการนี้ถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ของเมเจอร์อีก 1 โครงการ คาดว่าจะสามารถเปิดตัวโครงการได้ประมาณไตรมาส 3-4 พัฒนาเป็นรูปแบบอสังหาฯครบวงจร ในเบื้องต้นจะพัฒนาทั้ง คอนโดฯ โรงแรม ศูนย์การค้า แต่ทั้งนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม ส่วนมูลค่าโครงการยังไม่สามารถระบุได้แต่คาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท
ส่วนแผนพัฒนาในปีนี้ นอกจากโครงการ มิคโคนอส และที่พัทยาแล้ว ยังมีแผนที่จะพัฒนาโครงการคอนโดฯอีก 2 แห่งในใจกลางกรุงเทพ โดยทั้งสองโครงการนี้จะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3 - 4 เช่นเดียวกัน โดยในปีนี้บริษัทได้ตั้งงบประมาณซื้อที่ดินไว้ 1,000 ล้านบาท ส่วนเงินลงทุนพัฒนาประมาณ 1,000 ล้านบาท
โดยแหล่งเงินลงทุนดังกล่าว บริษัทนำมาจากกระแสเงินสดหมุนเวียนภายในบริษัทที่มีจำนวน 1,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะมาจากเงินกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินจำนวน 1,200 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนหนี้สินต่อทุน 1.5 : 1 ในปีนี้มีแผนที่จะนำบริษัทเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯจำนวน 200 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 1 บาท คิดเป็นสัดส่วน 35% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยบริษัทต้องการเงินทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ประมาณไตรมาส 4 ของปี แต่หากสถานการณ์ตลาดไม่ดี ก็พร้อมเลื่อนแผนออกไปได้
" การกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงปลายปี เพราะเชื่อว่าในช่วงนั้นเศรษฐกิจจะกลับมาดีขึ้นได้ โดยเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จะนำมาชำระหนี้ บางส่วนเป็นเงินลงทุน และเป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งหนี้ก้อนแรกที่บริษัทต้องชำระมีจำนวน 300-400 ล้านบาท จากลงทุนในโครงการแมนฮัตตัน ซึ่งจะสามารถโอนได้ในช่วงปลายปีนี้ และหนี้อีกส่วน จะนำเงินโอนจากลูกค้ามาชำระหนี้สถาบันการเงินได้ "
สำหรับเป้าหมายการดำเนินงาน บริษัทตั้เงป้ารายได้เติบโต 30% จากปี 2549 ที่มีรายได้ 1,600 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ในมือจำนวน 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรับรู้ภายในปีนี้ 2,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 3,000 ล้านบาทจะสามารถรับรู้ได้ในปี 2551 ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่เปิดขาย 7 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท
ล่าสุดบริษัทได้เร่งทำการตลาดในโครงการ อกัสตัน สุขุมวิท 22 ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมระดับ 6 ดาว บนเนื้อที่ 3 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารสูง 2 อาคาร จำนวน 269 ยูนิต ขนาดห้องชุดตั้งแต่ 1-3 ห้องนอน ราคา 100,000 บาท ต่อตารางเมตร ซึ่งราคาดังกล่าวได้ปรับเพิ่มขึ้นจาก 88,000 บาท/ตร.ม. ในช่วงเปิดตัว และมีแผนที่จะปรับขึ้นราคาอกี 10% เมื่อโครงการก่อสร้างไปได้ระดับหนึ่ง โดยโครงการนี้เปิดขายอย่างไม่เป็นทางการมาตั้งแต่ปลายปี 2549 ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50% โดยครึ่งหนึ่งของลูกค้าที่ซื้อเป็นชาวต่างชาติ
คอนโดฯแนวรถไฟBTSสุดฮอต
ดร.สุริยา ยังได้กล่าวถึงภาพรวมของตลาดคอนโดฯว่า ปัจจุบันมีสินค้า(ซัพพลาย)คอนโดฯในเขตศูนย์กลางธุรกิจ(ซีบีดี) ที่สร้างเสร็จ ลดลงจาก 20 โครงการจำนวน 2,340 ยูนิต ในครึ่งปีแรกของปี 2549 เหลือเพียง 11 โครงการ จำนวน 1,300 ยูนิต ในครึ่งปีหลังของปี2548 โดยตัวเลข ณ. เดือน ม.ค.2550 มีสินค้า(สต๊อก)คงเหลือขาย 51,190 ยูนิต เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงคือ 7.6% เทียบปีต่อปี ซึ่ง ม.ค. ปี 49 เพิ่มขึ้น 11.1%
ในส่วนตลาดคอนโดฯระดับกลาง-บน จำนวนยูนิตเปิดใหม่ส่วนใหญ่ ตั้งอยู่ในย่านสุขุมวิท-พระราม 3 ส่วนใหญ่ 1-2 ห้องนอน ขนาด 45-55 ตร.ม. สำหรับ 1 ห้องนอน และขนาด 70-80 ตร.ม. สำหรับขนาด 2 ห้องนอน ส่วนในตลาดระดับบนจำนวนยูนิตเข้ามาใหม่อยู่ที่ ถ.สาทร สีลมและสุขุมวิท ส่วนใหญ่เป็นขนาด 2-3 ห้องนอน ขนาด 90-110 ตร.ม. ขณะที่ซัพพลายในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2549 มีคอนโดฯเปิดใหม่ทั้งหมด 4,330 ยูนิต จาก 17 โครงการ โดยทั้งปีมีจำนวนรวม 9,780 ยูนิต เพิ่มขึ้น 66.9% จากปี 2548 โดยยูนิตส่วนใหญ่เป็นตลาดระดับกลาง-บน ติดกับรถไฟฟ้าบีทีเอสในย่านสุขุมวิท
อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ใน 3 ปีข้างหน้าจำนวนซัพพลายใหม่ที่สร้างเสร็จ 6,1 50 ยูนิตต่อปี เพิ่มขึ้น 3,460 ต่อปีในช่วงปี 2547-2549 ส่วนความต้องการ(ดีมานด์)ในตลาดคอนโดฯครึ่งปีหลังและปี 2549 ลดลง เนื่องจากผู้ซื้อชะลอการตัดสินใจจากสภาพเศรษฐกิจ ส่งผลให้ยอดขายลดลงจาก 7,110 ยูนิตในครึ่งปีแรกปี 2549 เหลือ 2,440 ยูนิตในครึ่งปีหลังซึ่งทำให้มีอัตราว่างลดลง
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|