หุ้นไทยคึกสาปส่งทักษิณ นิว 770 ทำสถิติยุคขิงแก่


ผู้จัดการรายวัน(5 มิถุนายน 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

ฟ้าหลังฝนสดใสหลังสิ้นยุคทักษิณ-ไทยรักไทยโดนยุบ นักลงทุนเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ ส่งหุ้นไทยพุ่ง ดัชนีทำนิวไฮด์รอบใหม่ ทะลุ 770 จุด มูลค่าการซื้อขาย 37,067 ล้าน ลุ้นทะยานเหนือ 800 จุด ต่างชาติไล่เก็บไม่หยุด แค่ 2 วันซื้อสุทธิ 1.55 หมื่นล้าน "PTT" ทำสถิติสูงที่สุดตั้งแต่เข้าตลาดฯ "ภัทรียา" ระบุตลาดหุ้นฟื้นปลุกไอพีโอคืนชีพ เชื่อมีบริษัทสนใจระดมทุนเพียบ "เอกยุทธ" แนะจับตานอมินีชื่อใหม่ๆ หลังระบอบทักษิณหมดอำนาจ ขณะที่โบรกฯ เล็งปรับเป้าดัชนีสิ้นปีใหม่อีกครั้ง

ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (4 มิ.ย.) ดัชนียังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงเป็นการทำสถิติใหม่อีกครั้งในรอบกว่า 1 ปี เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเนื่องจากช่วงวันหยุดที่ผ่านมาไม่มีสถานการณ์ความรุนแรงจากการประท้วงเกิดขึ้น ขณะเดียวกันนักลงทุนต่างชาติยังคงเข้ามาซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้มีการคาดการณ์มีโอกาสที่เม็ดเงินที่เคยเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นจีนจะเริ่มไหลเข้ามาในตลาดหุ้นอื่นมากขึ้น หลังมีการเทขายหุ้นในตลาดหุ้นจีนออกมาอย่างหนัก โดยดัชนีตลาดหุ้นวานนี้ปิดที่ 770.61 จุด เพิ่มขึ้น 16.68 จุด หรือ 2.21% โดยจุดสูงสุดของวันดัชนีอยู่ที่ 775.41 จุด หรือเพิ่มขึ้นมา 21.48 จุด ขณะที่จุดต่ำสุดอยู่ที่ 757.35 จุด มูลค่าการซื้อขายสูงถึง 37,067.10 ล้านบาท

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 7,362.82 ล้านบาท โดยเพียง 2 วันในเดือนมิ.ย.นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิแล้ว 15,505.49 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 39.73 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 7,402.55 ล้านบาท

นอกจากนี้การปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่หลายบริษัทส่งผลทำให้ราคาทำสถิติราคาปิดที่ระดับสูงสุดหลายบริษัท เช่น บมจ.ปตท. หรือ PTT ราคาปิดที่ 270 บาท เพิ่มขึ้น 12 บาท หรือ 4.65% ซึ่งเป็นระดับราคาสูงสุดเท่าราคาปิดในปีที่ผ่านมา ขณะที่ บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย หรือ SCC ราคาปิดที่ 256 บาท เพิ่มขึ้น 14 บาท หรือ 5.79% โดยในปีที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 258 บาท

แหล่งข่าวผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวถึงภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นว่า ตลาดหุ้นไทยเริ่มกลับเข้ามาสู่ช่วงขาขึ้นอีกครั้งซึ่งสะท้อนความมั่นใจของนักลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศแม้ว่านักลงทุนในประเทศจะยังคงเป็นกลุ่มที่ขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่องก็ตาม โดยประเด็นที่สร้างความั่นใจให้นักลงทุนค่อนข้างเป็นผลมาจากคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนนูญในคดียุบพรรคการเมือง

ทั้งนี้ ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลที่แม้ว่าจะไม่ได้มาจากการเลือกตั้งแต่การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกทางเศรษฐกิจอาจจะสะท้อนได้ถึงความเชื่อมั่นของรัฐบาลมากกว่ารัฐบาลในชุดที่ผ่านมา

"ตัวเลขการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน อาจจะสะท้อนได้ว่ารอบแห่งขาขึ้นของตลาดหุ้นไทย กลไกทางเศรษฐกิจกลับเข้ามาสู่ยุครุ่งเรื่องอีกครั้ง"แหล่งข่าวกล่าว

โบรกฯ เตรียมปรับเป้าดัชนี

นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีรุนแรงจนอาจจะทำเกิดการขายทำกำไรออกมา สอดคล้องกับตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลดลงค่อนข้างมากจากก่อนหน้านี้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างรุนแรง

ทั้งนี้ หุ้นหลายบริษัทราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นจนราคาในปัจจุบันสูงกว่าราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ การเลือกลงทุนของนักลงทุนจึงควรเลือกหุ้นที่ราคาที่ซื้อขายยังต่ำกว่าราคาพื้นฐานของบริษัท เพราะอาจจะมีการปรับฐานของตลาดหุ้นในช่วงเร็วๆ นี้

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นสิ้นปีจะอยู่ที่ 765 จุด พีอีเรโชอยู่ที่ 12 เท่า โดยอาจจะต้องมีการพิจารณาปรับเพิ่มดัชนีอีกครั้งแต่จะต้องดูสถานการณ์ทางการเมืองประกอบว่าจะมีความชัดเจนมากน้อยเพียงใด

ขอลุ้นตลาดหุ้นไทยขึ้นต่อ

นายสิทธิเดช ประเสริฐรุ่งเรือง รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้วประมาณ 11% ขณะที่ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก โดยคาดว่าแนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้คาดว่าดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้ โดยแนวโน้มทางเทคนิคดัชนีมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุ 800 จุด แต่ระมัดระวังแรงเทขายทำกำไร จากที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง และยังคงติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น ภูมิภาค สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ โดยประเมินแนวรับที่ 760 จุด

นางสาวปองรัตน์ รัตนตวณานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า นักลงทุนคลายความกังวลและลดความกดดันจากสถานการณ์การเมืองในประเทศทำให้มีแรงซื้อเข้ามาอย่างหนาแน่น ขณะเดียวกันตลาดหุ้นไทยมีค่าP/E เฉลี่ยอยู่ที่ 10 เท่า ซึ่งถือว่าถูกเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่มีค่าP/E เฉลี่ยอยู่ที่มากกว่า 10 เท่า ประกอบกับผลตอบแทนที่ได้จากตลาดหลักทรัพย์สูงถึง 3.9% ซึ่งให้ผลตอบแทนเท่ากับพันธบัตรอายุ 10 ปี ทั้งนี้ในส่วนตัวมองว่าดัชนีสิ้นปีจะอยู่ที่ระดับ 840 จุด เนื่องจากภาวะการเมืองที่มีความชัดเจนมากขึ้นและเชื่อว่าจะมีการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้แน่นอน ซึ่งจะทำให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมามากขึ้น

หุ้นฟื้นปลุกตลาดไอพีโอ

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวดีขึ้นเชื่อว่าจากนี้บริษัทที่เตรียมที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) มากขึ้น จากก่อนหน้านี้มีการเลื่อนการเข้าระดมทุนหลายบริษัทเนื่องจากช่วงภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยส่งผลกระทบทำให้ราคาเสนอขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง

ทั้งนี้ เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีหุ้นบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กเข้ามาระดมทุนมากขึ้น ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะกิจการที่เป็นรัฐวิสาหกิจยังคงต้องรอความชัดเจนจากนโยบายของรัฐบาล

สำหรับประเด็นที่นักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติสนใจสอบถามหลังจากไปโรดโชว์ทั้งในสหรัฐอเมริการและยุโรป ส่วนใหญ่ยังเป็นประเด็นทางการเมืองโดยเฉพาะเรื่องการกำหนดวันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ซึ่งตลท.ได้ชี้แจงถึงความมั่นใจว่าการเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้นตามกำหนดการเดิมที่ระบุไว้ว่าจะมีการเลือกตั้งในช่วงสิ้นปี

จับตา"นอมินี"เปลี่ยนชื่อ

นายเอกยุทธ อันชัญบุตร นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า หลังมติตุลาการรัฐธรรมนูญให้มีการยุบพรรไทยรักไทยเชื่อว่าการนำบริษัทของกลุ่มทุนทางการเมืองเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์น่าจะเป็นไปได้ยากขึ้น เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนว่ากลุ่มใหม่ที่จะเข้ามาจะมีนโยบายอย่างไร แต่เชื่อว่าแม้ว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นจะทำให้เกิดรัฐบาลใหม่นักลงทุนรายใหญ่ก็ยังคงจะอยู่กับตลาดหุ้นต่อไป

ทั้งนี้ อาจจะมีการเปลี่ยนกลุ่มหุ้นที่เคยเข้ามาเก็งกำไรมากขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามกระแสทางสังคมและอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงชื่อกลุ่มตัวแทน (นอมินี) เข้ามาซื้อขายเพื่อสลัดภาพการเป็นตัวแทนของกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่กลุ่มเดิมๆ

"ส่วนตัวมองว่าถ้ายังมีข่าวให้เล่นในตลาดหุ้นนักลงทุนที่หาผลตอบแทนจากตลาดหุ้นก็ไม่น่าจะหยุดการซื้อขายหุ้น แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจขึ้นมา"นายเอกยุทธกล่าว


อย่าประมาทตลาดหุ้นจีนกระทบ

นายอดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นจีนวานนี้ (4 มิ.ย.50) กว่า 8% ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงในการลงทุนเพิ่มมากขึ้น โดยสาเหตุของการปรับลดเนื่องจากความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีนจึงทำให้นักลงทุนขายเพื่อป้องกันความเสี่ยงแต่จากเรื่องดังกล่าวอาจจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย เพราะน่าเม็ดเงินจากต่างชาติโยกย้ายเข้าสู่ตลาดอื่นมากขึ้น

นอกจากนี้ ความกังวลต่อค่าเงินหยวนที่อาจจะไม่แข็งค่าขึ้นอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ซึ่งถ้าเกิดลดลงเกิดมาจากปัจจัยดังกล่าวจะกลายเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นในภูมิภาค รวมถึงตลาดหุ้นไทย เนื่องจากนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเซียนขณะนี้ ส่วนหนึ่งเข้ามาเพื่อเก็งกำไรค่าเงิน ซึ่งถ้าค่าเงินหยวนไม่แข็งค่าขึ้น ก็น่าจะทำให้สกุลเงินอื่นทั่วภูมิภาคไม่แข็งค่าขึ้นตาม แล้วจะกลายเป็นปัจัยที่เป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้นได้


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.