“เกษร”โอด3เดือนแรกหด13%ลุยนิชมาร์เก็ตเจาะนักเที่ยวเทศ


ผู้จัดการรายวัน(5 มิถุนายน 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

“เกษร” วอนขอให้มีรัฐบาลเลือกตั้งและผู้นำประเทศโดยเร็ว เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุน เพื่อทำให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนต่อไป หลังพบไตรมาสแรกยอดหายไปกว่า 13% เดินหน้าวางการตลาดใหม่ เน้นทำการตลาดจับนิชมาร์เก็ต และกลุ่มนักท่องเที่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอาหรับ หลังพบยอดการใช้จ่ายต่อครั้งสูงมาก หวังสิ้นปีรายได้เพิ่มขึ้น 20% ตามเป้าที่วางไว้

นางสาธิมา ทานาเบ้ รองผู้จัดการทั่วไป บริษัท เกษร แลนด์ แอซเซท แมนเนจเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าเกษร เปิดเผยว่า หลังสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายขึ้นนั้น ยอมรับว่าส่วนตัวมีความมั่นใจขึ้นในระดับหนึ่งในการดำเนินธุรกิจว่าครึ่งปีหลังนี้น่าจะดีขึ้น อย่างไรก็ตามมองว่าหากมีผู้นำประเทศและรัฐบาลเลือกตั้งได้เร็วเพียงใดก็ย่อมส่งผลดีต่อภาคธุรกิจเร็วเท่านั้น อันจะส่งผลให้นักลงทุนหันกลับมาลงทุนในประเทศไทยอีกครั้ง

“การตัดสินใจของนักลงทุนส่วนใหญ่ที่จะมาลงทุนในแถบภูมิภาคของเรานั้น ต่างมองหาประเทศที่มีภาพลักษณ์ที่ดีอยู่ ซึ่งไทยเองหลังจากมีเหตุการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนหันไปลงทุนประเทศอื่นๆแทน เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเก๊า และอินเดีย ดังนั้นหากประเทศไทยมีผู้นำประเทศที่ชัดเจนเร็วเท่าไร คาดว่าจะทำให้นักลงทุนหันกลับมาลงทุนในประเทศไทยอีกครั้งอย่างแน่นอน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ค่าจีดีพีของประเทศขยับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง”

สำหรับปัญหาทางการเมืองครั้งนี้ ยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อยอดขายของเกษรเป็นอย่างมาก เริ่มตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาพบว่า มียอดขายลดลงจากเป้าที่วางไว้ประมาณ 13% ขณะที่จำนวนลูกค้าที่เข้ามาภายในห้างลดลงเช่นเดียวกันประมาณ 22% และเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา พบว่ารายได้ลดลงถึง 19% ส่วนจำนวนลูกค้าที่เข้ามาภายในห้างตกลงกว่า 26% ส่วนไตรมาสที่สองนั้นมีรายได้ใกล้เคียงกับไตรมาสแรก เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดหลายวัน ขณะเดียวกันถือเป็นช่วงวันหยุดยาวของชาวญี่ปุ่นด้วย จึงทำให้ยอดขายใกล้เคียงกัน

ดังนั้นทางเกษรจึงต้องมีการจัดกิจกรรมทางการตลาดอยู่ตลอดเวลา แต่ยังคงกลยุทธ์ทางด้านการขายหลัก 3 ทาง คือ 1. การสร้างแบรนด์ 2. การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง ทั้งกลุ่มคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว อย่างชาวอาหรับ และกลุ่มเจนเนอร์เรชั่นวาย และ 3. การจัดโปรโมชั่น

โดยการปรับกลยุทธ์การขายใหม่ๆนั้นจะมุ่งทำการตลาดแบบนิชมาร์เก็ตมากยิ่งขึ้น เช่น การร่วมมือกับโรงแรมระดับ 5 ดาว จำนวน 20 โรงแรมในกรุงเทพฯ เพื่อดึงลูกค้าให้เข้ามาใช้จ่ายที่ศูนย์การค้าเกษร และการจับมือกับทางสถาบันการเงินต่างๆ ในการทำแคมเปญเกี่ยวกับนักท่องเที่ยว เพื่อให้มาใช้จ่ายที่เกษรเช่นเดียวกัน โดยกลยุทธ์การขายเหล่านี้ได้เริ่มมาประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ปรากกว่าลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี

“กลุ่มนักท่องเที่ยวถือเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่มีกำลังซื้อสูงมาก โดยเฉพาะกลุ่มอาหรับด้วยแล้ว 1 คน เฉลี่ยมีการใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทเลยทีเดียว ดังนั้นแผนต่อไปที่ทางเกษรจะดำเนินการต่อไป คือ จะมีการทำกิจกรรมการตลาดร่วมกับพันธมิตรทางด้านโรงแรม สายการบิน และบัตรเครดิต เพื่อที่จะดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวให้เข้ามาใช้จ่ายในศูนย์ต่อไป ในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันของนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวที่จะเข้ามาท่องเที่ยวในไทย”

ปัจจุบันกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีการใช้จ่ายสูงสุด 5 อันดับ คือ ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลี และอาหรับ และที่เห็นว่าเริ่มจะมีกำลังซื้อมากขึ้นต่อมา คือ รัสเซีย และยุโรปตะวันออกกลาง อย่างประเทศ เช็ค ส่วนกลุ่มอาหรับนั้นถือเป็นกลุ่มประเทศที่มีกำลังใช้จ่ายมากที่สุด ได้แก่ประเทศ ซาอุดิอาระเบีย การ์ต้า และดูไบ เป็นต้น

ล่าสุดทางเกษรได้ร่วมกับทางสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส สมาคมฝรั่งเศสกรุงเทพ และเทศกาลวัฒนธรรมฝรั่งเศส จัดนิทรรศการ เพียว เซนส์เซส ซึ่งเป็นการนำเสนอความเป็นศิลปะสองแขนงมาจัดแสดงเข้าด้วยกัน ในการสร้างสรรค์น้ำหอมระดับโลกที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก และผลงานศิลปะร่วมสมัยภายใต้แนวคิด “Splash” คาดว่าจะช่วยเพิ่มจำนวนลูกค้าเข้ามาใช้จ่ายภายในศูนย์การค้าอีก 15%

นอกจากนี้ทางศูนย์ยังเตรียมที่จะเปิดตัวโครงการใหม่สำหรับกลุ่มลูกค้าผู้หญิงตั้งแต่ระดับบีบวกขึ้นไป ภายในบริเวณล๊อบบี้ ชั้น จี ซึ่งเป็นบริการใหม่ที่จะคอยให้บริการภายใต้ซับแบรนด์เกษรคาดว่า อีก 2-3 เดือนข้างหน้าจะเปิดตัวได้อย่างเป็นทางการ

นาง สาธิมา กล่าวในตอนท้ายด้วยว่า จากการปรับกลยุทธ์การตลาดตลอดทั้งปีนี้ เชื่อมั่นว่าจะมีรายได้เติบโตขึ้นกว่า 20% ตามเป้าที่วางไว้อย่างแน่นอน


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.