|
"สหพัฒน์"กุมขมับคาดรายได้ทั้งเครือหาย6.5พันล้าน
ผู้จัดการรายวัน(4 มิถุนายน 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
ประธานเครือสหพัฒน์ ชี้เศรษฐกิจปี 2550 เข้าขั้นวิกฤติหนักยิ่งกว่ายุคฟองสบู่แตกปี 2540 คาดจีดีพีส่อเค้าอาจติดลบครั้งแรกรอบ 20 ปี ตลาดอุปโภคบริโภค สินค้าแฟชั่นยอดขายวูบ รากหญ้ากำลังซื้อหาย “สหพัฒน์” ชูนโยบาย “Minus Marketing” ตั้งผลประกอบการติดลบ 5% ครั้งแรกในรอบกว่า 60 ปี แนะรัฐเร่งจัดการเลือกตั้ง แก้ปัญหาเศรษฐกิจมากกว่าการเมือง หวังอีกครึ่งภาวะเศรษฐกิจฟื้น
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทยปีนี้เกิดวิกฤติหนักมากเมื่อเทียบกับวิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2540 แม้ว่าภาครัฐจะประมาณการณ์ว่าปีนี้จีดีพีหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมจะมีอัตราการเติบโต 4% ก็ตาม แต่ในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจประมาณการณ์ว่าจีดีพีอาจจะติดลบครั้งแรกในรอบ 20 ปี เนื่องจากปัจจัยลบรุมเร้า อาทิ สถานการณ์การเมืองที่ไม่นิ่งทำให้เศรษฐกิจไม่ขับเคลื่อน ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตรจำหน่ายได้ราคาต่ำ ซึ่งปกติภาคเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักของคนไทยระดับรากหญ้า และเป็นฐานประชากรที่มีมากในประเทศ
สิ่งที่ภาครัฐต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน คือ การแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก มากกว่าจะมาแก้ปัญหาด้านการเมือง โดยเฉพาะอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่า ให้อ่อนตัวลงต่ำกว่า 37 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ รวมถึงลดอัตราดอกเบี้ย อีกทั้งภาครัฐควรพิจารณาว่า จะนำมาตรการใดกระตุ้นเศรษฐกิจ วิธีที่ดีที่สุด คือ ทำให้มีการเลือกตั้ง เพราะขณะนี้พบว่าอำนาจการซื้อลดลงอย่างมาก อัตราการบริโภคทุกอย่างลดลงทั้งหมด โดยสินค้าบริโภคไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ส่วนสินค้าอุปโภคหรือสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำได้รับผลกระทบบ้าง ขณะที่สินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ กลุ่มเสื้อผ้า เครื่องสำอาง
“มาตรการที่ภาครัฐนำมาใช้ทำไม่ถูกจังหวะ อย่างมาตรการลดอัตราดอกเบี้ย เป็นกลยุทธ์การกระตุ้นเศรษฐกิจที่ช้ามาก ซึ่งถ้าภาครัฐแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ประมาณครึ่งปีทิศทางเศรษฐกิจน่าจะกลับมาดีขึ้น สำหรับในฐานะนักธุรกิจคนไทย อยากให้มีการเลือกตั้งให้เร็วที่สุด และรอรัฐบาลชุดใหม่มาดำเนินการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ส่วนบุคคลที่เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะต้องเป็นผู้บริหารประเทศชาติให้ก้าวหน้า มากกว่าเป็นการบริหารเพื่อครอบครัวและเครือญาติ เพราะขณะนี้ต้องผจญกับคู่แข่งที่น่ากลัว อย่างเวียดนาม ซึ่งคาดว่าจะเป็นประเทศที่มาแรงและน่ากลัวกว่าประเทศจีน”
เครือสหพัฒน์ชี้สิ้นปีรายได้ติดลบ
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า บริษัทสหพัฒน์ทั้งเครือ ได้นำกลยุทธ์ “Minus Marketing” หรือการมีผลประกอบการที่ติดลบ 5% เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 60 ปี หรือตั้งแต่เครือสหพัฒน์ก่อตั้งขึ้นมา (ประเมินจาก 5% จากรายได้รวมปีที่แล้ว 1.3 แสนล้านบาท เท่ากับหายไป 6.5 พันล้านบาท) โดยปรกติกลุ่มสหพัฒน์จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 10% ทุกปี ซึ่งปีที่ผ่านมามีรายได้ 1.3 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 บริษัทดำเนินกลยุทธ์ “Zero Marketing” หรือการมีผลประกอบทรงตัวไม่มีอัตราการเติบโต
ขณะที่บริษัทไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กลุ่มเสื้อผ้าคิดเป็นสัดส่วน 10% ยอดขายรวม ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมายอดขายลดลง 20-30% นับเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแรกในรอบ 20 ปี ทั้งนี้เป็นเพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคไทย มีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย สอดคล้องกับการดัชนีชี้วัดของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า โดยในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโต 10%
ลงทุนระมัดระวังปีหน้าโตในเชิงบวก
สำหรับปีนี้ด้านการลงทุนบริษัทลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยลงทุนเฉพาะค่าเสื่อมเท่านั้น แต่บริษัทไม่ได้ชะลอการลงทุน เพราะมองว่าไทยยังเป็นประเทศที่มีศักยภาพ ล่าสุดในงาน “ Saha Group Export & Trade Exhibition” ได้เซ็นสัญญาร่วมทุนกับประเทศต่างๆ ในแถบเอเชีย อาทิ เวียดนาม กัมพูชา อินเดีย สำหรับภายในงานปีนี้เน้นคอนเซปต์ “Innovation to the world” จำหน่ายเครื่องสำอาง เครื่องหนัง สิ่งทอ รองเท้า เครื่องใช้ภายในบ้าน เสื้อผ้า อาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าเบ็ดเตล็ด ลดราคาถึง 30% เพื่อรองรับกับกำลังการซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง
โดยงานเริ่มระหว่างวันที่ 29 มิ.ย.-1ก.ค. นี้ ที่ ศูนย์ สิริกิติ์ คาดว่าจะมีประชาชนสนใจร่วมงานกว่า 3 แสนคน อย่างไรก็ตามหากภาครัฐมีมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง คาดว่าในปีหน้านี้เครือสหพัฒน์จะกลับมามีผลประกอบการในเชิงบวกอีกครั้ง
ไอ.ซี.ซีฯอัดกิจกรรมดันยอดโต10%
นายบุญเกียรติ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในเครือสหพัฒน์ ผู้ดำเนินธุรกิจเครื่องแต่งกาย ลาคอส เครื่องสำอางบีเอสซี ฯลฯ เปิดเผยว่า ในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมาบริษัทฯมียอดขายต่ำกว่าเป้า 5- 6% ต่ำที่สุดรอบใน 10 ปี สาเหตุเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอผสมผสานกับการเมืองที่ชะลอตัว ที่เกิดขึ้นจึงส่งผลให้ยอดตกต่ำลงไป ทำให้บริษัทจำเป็นต้องทำตลาดด้วยการทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย ใช้งบกระตุ้นตลาดมากขึ้น รวมทั้งการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเข้ามาทำตลาดอยู่เสมอแต่ในขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้
ทั้งนี้บริษัทฯยอมรับว่าต้องปรับเป้ายอดขายทั้งปี เมื่อดูจากตัวเลขในช่วงต้นปี การทำตลาดน่าจะยากขึ้น เดิมที่ตั้งการเติบโตไว้ที่ 15% จากยอดขายปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 13,500 ล้านบาท ถ้าการเติบโตสามารถทำได้ 10% ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ซึ่งตรงจุดนี้บริษัทเชื่อว่าจะทำได้อยู่เนื่องจากว่าช่วงครึ่งปีหลัง หลังจากที่จบคดียุบพรรค ความชัดเจนทางการเมืองเริ่มมีความชัดเจนขึ้น การลงทุนมีการขยับขยายตัว ส่งต่อให้เศรษฐกิจอาจดีขึ้นอยู่บ้าง
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|