|
"ซีเอ็มซี"ไม่หวั่นเศรษฐกิจซบลุยตลาดอสังหาฯทุกเซกเมนท์
ผู้จัดการรายวัน(4 มิถุนายน 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
"เจ้าพระยามหานคร" ลุยอสังหาฯเต็มสูบ จับทุกเซกเมนท์ ตั้งเป้ารายได้ 2,000 ล้านบาท ล่าสุดเปิด 2 โครงการใหม่บ้านหรู - ไฮไรส์คอนโดฯ มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท ไม่หวั่นตลาดบ้านหรูซบ ระบุตลาดบ้านหรูกลับมาอีกครั้ง หลังซบยาว 5 ปี พร้อมทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รับรู้ เล็งเทคโอเวอร์เซอร์วิสอาพาร์ตเมนต์ - โรงแรมขนาดไม่เกิน 80 ห้อง หวังสร้างรายได้จากการเช่า 20%
นายวิเชียร แพทยานันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด หรือ ซีเอ็มซี เปิดเผยว่า ภายหลังจากปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ทำให้บริษัทฯมีแนวทางในการลงทุนและการวางแผนธุรกิจที่ชัดเจนขึ้น โดยกำหนดให้บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2537 ในฐานะบริษัทแม่ ดูแลโครงการสำหรับกลุ่มลูกค้าตลาดบน ในขณะที่บริษัทลูก ได้แก่ บริษัท พระยาพาณิชย์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จับกลุ่มลูกค้าที่ทันสมัย ต้องการคอนโดมิเนียม ราคาประมาณ 1 ล้านบาทต้นๆ โดยมีจุดขายที่เกาะแนวรถไฟฟ้าและรถไฟฟ้าใต้ดิน ในแบรนด์ ชาโตว์ อินทาวน์ และบริษัท สยามมหานคร จำกัด เน้นโครงการสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ในราคาที่ไม่สูง ส่วนบริษัทไทยสยามนคร พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จะทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างให้แก่บริษัทในเครือ
ที่ผ่านมา บริษัทพัฒนาโครงการทั้งแนวราบและแนวสูง โดยปี2550 จะเป็นปีแรกที่ได้วางแผนการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโทรทัศน์เป็นครั้งแรกเพื่อสร้างแบรนด์ นับตั้งแต่เข้ามาสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยตั้งงบประมาณไว้กว่า 100 ล้านบาทหรือประมาณ 7% ของยอดรับรู้รายได้ โดยได้วางแบรนด์สินค้าตามระดับราคาและเซกเมนท์ ดังนี้ ชาโตว์ อินทาวน์ จะเป็นคอนโดมิเนียม แบบโลว์ไรส์ ตั้งอยู่กลางเมืองตามแนวรถไฟฟ้า, บางกอก ฮอไรซัน คอนโดมิเนียมแนวสูง ติดถนนใหญ่, คาซ่ายูเรก้า ทาวน์เฮาส์-ทาวน์โฮม - อาคารพาณิชย์ ราคา 3-4 ล้านบาท และดิเอ็กซ์คลูซีฟ บ้านหรู ราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะออกแบรนด์สินค้าบ้านเดี่ยวใหม่ในระดับกลาง โดยที่ผ่านมาบริษัทยังไม่มีสินค้าระดับนี้ โดยจะมีระดับราคา 3.5-8 ล้านบาท ขนาดเนื้อที่ประมาณ 60-80 ตารางวาขึ้นไป ขณะนี้อยู่ระหว่างการประกวดชื่อ และหาทำเลที่จะพัฒนา คาดว่าจะสามารถออกสู่ตลาดได้ในปี 2551
ซึ่งในปี 2550 ทางกลุ่มคาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้ 2,000 ล้านบาท จากยอดขาย 3,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2549 ถึง 400% ที่มีรายได้ 400 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายที่ทำได้ประมาณ 800 ล้านบาท ทั้งนี้เป้าหมายดังกล่าวถือว่าเกินกว่าความสามารถ เนื่องจากปัจจุบันมียอดขายจากโครงการชาโตว์ อินทาวน์ที่จะมารับรู้ภายในปีนี้จำนวน 1,200 ล้านบาท
ทั้งนี้ในการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทได้ขยายการลงทุนไปยังพื้นที่ใหม่ 2 ทำเล ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ และเปิดขายช่วงไตรมาส 3ของปี 2550 รวมมูลค่า กว่า 4,000 ล้านบาท คือ 1. โครงการ ดิ เอ็กซ์คลูชีฟ เนื้อที่ กว่า 103 ไร่ ย่านพระราม 2 กม.10 เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้นเนื้อที่ 100 ตารางวาแบ่งแบ่งการพัฒนาออกเป็น 5 เฟสๆ ละ 40-50 ยูนิต รวมจำนวน 229 ยูนิต มูลค่า 2,500 ล้านบาท และได้รับสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการในเฟส 1-2 จาก ธนาคาร ไทยธนาคาร จำนวน 600 ล้านบาท
โครงการดังกล่าว กลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะเป็นเจ้าของกิจการ และเพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า โดยในช่วงไตรมาส 3/2550 นี้จะเปิดขายเฟสแรก 40 ยูนิต ซึ่งเป็นบ้านสร้างก่อนขาย โดยจะขายเริ่มต้นที่ 14-32 ล้านบาท/ยูนิต และในขณะเดียวกันจะเปิดขายเฟส 2 เป็นบ้านสั่งสร้างเพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า ซึ่งตั้งเป้ารายได้จากโครงการปีนี้ 1,000 ล้านบาท
โครงการที่ 2 คือ โครงการ บางกอก ฮอริซัน เป็นอาคาร 37 ชั้น รามคำแหง 58/3 บนเนื้อที่ 3 ไร่เศษ จำนวน 599 ยูนิตขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 30-308 ตรม.ราคาเริ่มต้น 1.2 ล้านบาท/ยูนิตหรือประมาณ 42,000 บาท/ตรม.รวมมูลค่า 1,500 ล้านบาท โดยเจาะกลุ่มลุกค้าเป้าหมายระดับรายได้ 30,000 บาทขึ้นไป ตามแผนกำหนดก่อสร้างเสร็จในปี 2552
พร้อมกันนี้ นายวิเชียร ยอมรับว่าจากปัจจัยลบต่างๆที่เกิดขึ้นรวมถึงปัญหาการเมืองนั้นส่งผลลบต่อธุรกิจอสังหาฯ รวมไปถึงตลาดทุน ซึ่งเดิมบริษัทมีแผนที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงปลายปีนี้ แต่จากปัจจัยลบดังกล่าวทำให้บริษัทต้องทบทวนแผนใหม่ ซึ่งจะต้องรอดูสถานการณ์ในไตรมาส 4 อีกครั้ง อย่างไรก็ตามแม้ว่าธุรกิจอสังหาฯจะอยู่ในช่วงชะลอตัว แต่เนื่องจากบ้านเดี่ยวระดับบนหรือบ้านหรูได้มีการเติบโตอย่างมากเมื่อปี 4-5 ปีที่ผ่านมา และได้เริ่มชะลอตัวลงจนกระทั้งปัจจุบัน ดังนั้นจึงเชื่อว่าภายในปี 2551 บ้านหรูจะกลับมาอีกครั้ง
ปัจจุบันกลุ่มซีเอ็มซี มีโครงการที่เปิดตัวไปแล้วและกำลังดำเนินการปิดการขายทั้งหมด 6 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการ คาซ่า ยูเรก้า บางแค ทาวน์เฮาส์และโฮมออฟฟิศ บนถนนเพชรเกษม ซอย 63/4 ราคาเริ่มต้น 3.95 ล้านบาท จำนวน 144 ยูนิต มูลค่า430 ล้านบาท ปัจจุบันมียูนิตเหลือขาย 30 ยูนิต, 2.โครงการชาโตว์ ริเวอร์ โบ้ท คอนโด โลว์ไรซ์ 8 ชั้น รูปทรงเรือสำราญ ตั้งอยู่บนถนนเจริญนคร 60 ราคาเริ่มต้น 2.03 ล้านบาท จำนวน 198 ยูนิต ปัจจุบันเหลือ 10 ยูนิต และจะสามารถโอนได้ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้
3.โครงการ ชาโตว์ อินทาวน์ คอลราจ รัชดา 13 ติดรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีห้วยขวาง ราคาเริ่มต้น 1.86 ล้านบาท ขนาดพื้นที่ใช้สอย 27- 67 ตารางเมตร มีทั้งหมด 292 ยูนิต มูลค่าโครงการ 616 ล้านบาท ขณะนี้มียอดจองแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์, 4. โครงการชาโตว์ อินทาวน์ รัชดา 17 ราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท ขนาดพื้นที่ใช้สอย 35- 90 ตร.ม. จำนวน 150 ยูนิต มูลค่าโครงการ 310 ล้านบาท มัยอดขายแล้ว 50 ยูนิต, 5.โครงการชาโตว์ อินทาวน์ เมเจอร์ รัชโยธิน ราคาเริ่มต้น 1.56 ล้านบาท ขนาดพื้นที่ใช้สอย 34- 65 ตร.ม. จำนวน 120 ยูนิต มูลค่าโครงการ 220 ล้านบาท มียอดขายแล้ว 40 ยูนิต และ6. ชาโตว์ และรอยัล รีเจ้นท์ รัชดา 36 ห้องชุดขนาด 46- 59.9 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1.74 ล้านบาท จำนวน 79 ยูนิต มูลค่าโครงการ 150 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 10 ยูนิต โดยคาดว่าทุกโครงการจะสามารถปิดโครงการภายในต้นปี 2551
คาดว่าเมื่อสิ้นสุดปี 2550 หากยอดขายเป็นไปตามเป้า กลุ่มบริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัดจะมีรายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท จากโครงการคาซ่า ยูเรก้าบางแค ชาโตว์ ริเวอร์โบ้ท และโครงการชาโตว์ อินทาวน์ คอลลาจ รัชดา 13 ซึ่งจะโอนหมดภายในสิ้นปี 2550 นี้ และจากโครงการ ดิ เอ็กซ์คลูซีฟ เฟส 1 และ เฟส 2
"สัดส่วนรายได้ของบริษัทในปีนี้จะมาจากแนวราบ 50% และแนวสูงอีก 50% ส่วนในปีหน้าบิรษัทมีแผนที่จะสร้างรายได้จากค่าเช่าหรือค่าบริการอีก 20% จากธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ โรงแรมหรือรีสอร์ท โดยจะใช้วิธีการเทคโอเวอร์โครงการเก่าเข้ามาบิรหารขนาดประมาณ 30-80 ห้อง ขณะนี้อยู่ระหว่างคัดเลือกโครงการคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปี 2551 ส่วนรายได้ที่เหลืออีก 80% จะมาจากแนวราบ 40% และแนวสูง 40%" นายวิเชียรกล่าว
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|