|

หุ้นเด้งรับคดียุบพรรคยุติทำสถิติใหม่สูงสุดรอบ 5 เดือน
ผู้จัดการรายวัน(31 พฤษภาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
สถาบัน-ตปท. ลุยเก็บหุ้นเพิ่มหลังความกังวลคดียุบพรรคมีความชัดเจนมากขึ้น ยังไม่หมดห่วงสถานการณ์ที่จะตามมาชี้หากเกิดความรุนแรงตลาดหุ้นรูดแน่ ขณะที่ดัชนีทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 เดือน "ภัทรียา" ระบุกองทุนต่างชาติติดตามประชามติร่างรัฐธรรมนูญ หวังเลือกตั้งเกิดขึ้นในสิ้นปี ด้าน "ก้องเกียรติ" ระบุฝรั่งมีทางเลือกเยอะ ไม่แคร์ปัญหาการเมืองไทย โบรกเกอร์ ชี้ยังไม่กลายกังวล ระบุ 2 แนวทางหากไม่มีการประท้วงดัชนีจ่อทดสอบ 750 จุด ขณะที่หากเกิดปัญหาดัชนีรูดแตะ 710 จุด
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (30 พ.ค.) ดัชนีเปิดตลาดในแดนลบก่อนจะมีแรงซื้อเข้ามา เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าสถานการณ์ที่สร้างความกังวลโดยเฉพาะจากประเด็นการวินิจฉัยคดียุบพรรคการเมือง ซึ่งส่งผลต่อการขึ้นลงของดัชนีในช่วงที่ผ่านมาจะมีความชัดเจนหลังตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ประกอบกับระหว่างวันไม่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 737.40 จุด เพิ่มขึ้น 9.621 จุด หรือ 1.32% ซึ่งจุดสูงสุดระหว่างวันอยู่ที่ 739.36 จุด ขณะที่จุดต่ำสุดอยู่ที่ 725.59 จุด มูลค่าการซื้อขาย 19,534.86 ล้านบาท โดยดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 5 เดือนกว่า
นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 938.53 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 648.91 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,587.44 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึง คำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญหลังคำตัดสินกรณีพรรคประชาธิปัตย์ ว่า คำวินิจฉัยที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นและมีความคาดหวังมากขึ้นเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในภายในสิ้นปีนี้ โดยเรื่องดังกล่าวนักลงทุนต่างชาติมีการสอบถามค่อนข้างมาก
ทั้งนี้ ประเด็นที่นักลงทุนต่างชาติให้น้ำหนักมากที่สุด คือความชัดเจนในเรื่องการกำหนดวันเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น โดยระหว่างนี้จะต้องพิจารณาเรื่องการลงประชามติเกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะเกิดขึ้นว่าจะเป็นอย่างไร
สำหรับการประเมินการลงทุนในตลาดหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติหลังได้ร่วมนำเสนอข้อมูลให้กับผู้จัดการกองทุน แม้ว่าจะยังไม่ได้รับความชัดเจนเรื่องการเข้ามาเพิ่มน้ำหนักในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่จากการสอบถามเชื่อว่ามีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะเพิ่มน้ำหนักต่อตลาดหุ้นไทย หากสถานการณ์ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางบวก
"ผลที่ออกมาสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกตั้งได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งหากไม่มีการยุบพรรคการเมืองน่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น แต่หากมีการยุบพรรคการเมืองหรือเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้นก็จะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในการลงทุน"นางภัทรียากล่าว
อย่างไรก็ตาม การหยุดการซื้อขาย 1 วัน เนื่องจากเป็นวันวิสาขบูชาถือว่าเป็นเรื่องที่ดีทำให้นักลงทุนสามารถประเมินคำวินิจฉัยได้อย่างละเอียดว่าจะกลับเข้ามาหรือเพิ่มน้ำหนักในการลงทุนหรือไม่อย่างไร
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติไม่ค่อยให้น้ำหนักกับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างมีทางเลือกหลายอย่างกับการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นที่มีขนาดไม่ใหญ่มากเหมือนตลาดหุ้นไทย ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นหากเกิดปัญหาภายในประเทศไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนที่ได้เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกมากนัก
นอกจากนี้ มุมมองของนักลงทุนต่างชาติกับการเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นที่ใดที่หนึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนระยะยาวทำให้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นไม่ส่งผลกระทบหากพื้นฐานของตลาดหุ้นนั้นๆไม่เปลี่ยนแปลงมาก
ตปท.เมินคำตัดสินยุบพรรค
นายอดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรคำวินิจฉัยตัดสินคดียุบพรรคการเมืองของตุลาการรัฐธรรมนูญ ถึงแม้ว่าคำตัดสินจะออกมาภายหลังตลาดหลักทรัพย์ปิดการซื้อขายก็ตามตลาดจะปิดทำการซื้อขายก่อนคำตัดสินจะสิ้นสุด ซึ่งหากคำตัดสินชี้ออกมาเป็นที่เกินความคาดหมายตลาดก็พร้อมที่จะปรับลดลง
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงหากคำตัดสินสั่งให้ยุบพรรคไทยรักไทย แต่หากไม่มีการประกาศให้ยุบพรรคการเมืองใด ก็ถือว่าเป็นผลดีต่อตลาดแต่ปัจจัยที่สำคัญ ซึ่งน่าจะทำให้มีการไหลเข้ามาเพิ่มของนักลงทุนต่างชาติ โดยที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติไม่ได้ให้ความสำคัญต่อการเมืองในประเทศไทยมากนัก แต่จะให้ความสำคัญต่อการลงทุนในภูมิภาคมากกกว่า ซึ่งตราบใดที่การลงทุนในตลาดหุ้นอื่นดี นักลงทุนต่างก็ยังจะลงทุนในตลาดหุ้นไทยอยู่
สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นในวานนี้ เป็นปัจจัยภายในประเทศมากที่สุดเพราะตลาดหุ้นในภูมิภาคส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยเลย โดยนักลงทุนต่างชาติและสถาบันภายในประเทศยังคงเข้ามาซื้อสุทธิต่อเนื่อง ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนกระแสกับตลาดหุ้นในภูมิภาค เนื่องจากการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นจีนหลังรัฐบาลจีนประกาศปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหลักทรัพย์จาก 0.1% เป็น 0.3% เพื่อลดความร้อนแรงจากการลงทุนในตลาดหุ้นจีน
"การประกาศยุบพรรคการเมืองทำให้นักลงทุนแบ่งความคิดออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่มองว่า ปัจจัยทางการเมืองผ่านจุดพีคไปแล้ว และต่อจากนี้คงจะไม่แย่ไปกว่านี้ หรือเสี่ยงมากกว่านี้ในขณะที่อีกกลุ่มมองว่าเป็นการเริ่มต้นของความยุ่งยากที่จะตามมา ซึ่งใครมองว่าน่าลงทุนก็เข้ามาซื้อ แต่ใครที่มองว่าเกิดความเสี่ยงก็จะขายออกมา"นายอดิพงษ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทแนะนำให้นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน ซึ่งมีความเสี่ยงน้อย เพราะราคาน้ำมันและค่าการกลั่นยังเป็นตัวที่ช่วยหนุนอยู่ และในระยะสั้นสามารถลงทุนในหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ได้ โดยการเข้ามาลงทุนควรจะมองปัจจัยพื้นฐานเป็นสำคัญ
ลุ้นปัจจัยนอกประเทศ
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) หรือ KGI กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังนักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าสถานการณ์ในช่วงการตัดสินคดียุบพรรคไม่น่าจะมีความรุนแรงเกิดขึ้น ทำให้มีการเข้ามาซื้อหุ้นในกลุ่มขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐาน เช่น กลุ่มพลังงาน สื่อสาร ธนาคารจึงทำให้ดัชนีฯ ซึ่งสวนทางกับตลาดหุ้นในภูมิภาคที่มีการปรับตัวลดลง จากที่ตลาดหุ้นจีนได้มีการปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหลักทรัพย์
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในวันศุกร์นี้ คาดว่าเรื่องการยุบพรรคการเมืองจะไม่มีผลกับทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทย เนื่องจาก ตลาดหุ้นมีการรับรู้เรื่องดังกล่าวแล้ว โดยเชื่อว่านักลงทุนจะมีการเทขายทำกำไรหุ้นออกมาจากที่ผ่านมาดัชนีได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยปัจจัยที่จะมีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นไทยในวันศุกร์นี้จะเป็นปัจจัยภายนอกประเทศ ซึ่งหากตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นก็จะส่งผลให้ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวลดลง ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็จะมีการปรับตัวลดลงแรก โดยมองแนวรับที่ระดับ 720-725 จุด แนวต้านที่ระดับ 744 จุด
ทั้งนี้บริษัทแนะนำให้นักลงทุนมีการขายทำกำไรออกมา และควรที่จะเลือกซื้อหุ้นที่มีกำไรในปี 2550 ในระดับที่เพิ่มขึ้น 10-20% และมีP/Eไม่เกิน9 เท่า เช่น บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ CCETที่มีผลกำไรปีนี้จะเพิ่มขึ้น 30% ขณะที่มีค่าP/E เพียง 7 เท่า
ดัชนีจ่อวิ่งทะลุ 750 จุด
นางสุภากร สุจิรัตรวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีบี กล่าวว่า หลังจากนี้ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบหรือการชุมนุมประท้วงที่รุนแรงขึ้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากจากเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากอัตราการเติบโตของดัชนีตลาดฯในภูมิภาคอาเซียนมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง หลังจากที่ดัชนีปรับตัวขึ้นจนทำลายสถิติหลายครั้งติดต่อกัน
ทั้งนี้กลุ่มนักลงทุนที่เคยเข้ามาลงทุนในตลาดอื่นในภูมิภาคอาเซียน น่าจะย้ายการลงทุนเข้ามาในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นตลาดหลักทรัพย์เพียงไม่กี่แห่งในภูมิภาคนี้ที่ดัชนียังมีอัตราการเติบโตที่ไม่สูง ทำให้ยังมีแรงซื้อเข้ามาจากนักลงทุนต่างชาติต่อเนื่องในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ กลุ่มธนาคาร อสังหาริมทรัพย์และพลังงาน
"ในสัปดาห์หน้ามีความเป็นไปได้ที่ดัชนีจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 750 จุดได้ โดยบริษัทแนะนำให้ "เก็งกำไร" ในกลุ่มธนาคาร ที่ดัชนีน่าจัขยับตัวสูงขึ้นได้มากกว่านี้ แต่ขึ้นอยู่กับว่าต้องไม่มีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น"นางสุภากรกล่าว
โบรกฯ ยังไม่หมดห่วง
แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า หลังจากนี้ดัชนีจะเคลื่อนไหวในลักษณะไหนขึ้นอยู่กับเหตการณ์ความไม่สงบที่จะเกิดขึ้น โดยถ้าไม่เกิดสถานการณ์ความรุนแรง ดัชนีน่าจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดว่าในระยะสั้น 1-2 สัปดาห์ ดัชนีน่าจะปรับตัวขึ้นถึงระดับ 770-780 จุด จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่อยากจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจากการที่ราคาหุ้นต่ำกว่าตลาดในประเทศในภูมิภาคเดียวกัน แต่ยังชะลอการเข้ามาลงทุนก่อนหน้านี้เพราะรอความชัดเจนเรื่องการเมือง
ส่วนในกรณีที่เกิดความไม่สงบนั้น การปรับตัวลดลงของดัชนีก็จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยถ้าเกิดความรุนแรงแค่เพียงการชุมนุมประท้วงต่อต้านเท่านั้น หุ้นน่าจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยคาดการณ์ว่าจะลดลงไม่เกิน 710 จุด แต่ถ้าสถานการณ์ออกมาในลักษณะเลวร้าย หรือเกิดการนองเลือด หรือรัฐประหารซ้อนอีกครั้ง ดัชนีก็น่าจะปรับตัวลดลงในอัตราที่มากกว่านั้น
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า หลังจากนี้ปัจจัยทางการเมืองต่อไปที่นักลงทุนจะจับตามอง คือการร่างรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี ว่าจะสามารถเสร็จสิ้นตามกำหนดหรือไม่ แต่ในระยะสั้นหุ้นที่จะปรับตัวขึ้นน่าจะเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มว่าผลประกอบการในไตรมาส 2 จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่น กลุ่มพลังงาน ที่ได้รับปัจจับบวกจากราคาน้ำมันที่ยังเพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้แม้ว่าปัจจัยในประเทศจะสงบมากขึ้น และกลับสู่ภาวะปกติแต่การลงทุนในตลาดหุ้นอาจจะมีความเสี่ยงมากขึ้น จากปัจจัยเรื่องความผันผวนในตลาดต่างประเทศ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวลดลง
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|