เปิดปฏิบัติการ Money politics ยุทธวิธีใหม่ “ทักษิณ” ป่วนเมือง วิทยุชุมชนเรื่อง “จิ๊บๆ”


ผู้จัดการรายสัปดาห์(28 พฤษภาคม 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

- เปิดปฏิบัติการ Money politics "ทักษิณ"เตรียมใช้เพื่อสื่อสารกับทุกระดับชั้นในประเทศ
- เป้าหมายล่อสื่อมวลชน ร่วมปลุกกระแส
- ส่วนรัฐบาล-คมช.ตกหลุมแทรกแซงสื่อ
-แต่เจ้าตัวกับเดินสายต่างประเทศสร้างความชอบธรรม

ยิ่งใกล้วันที่ 30 พฤษภาคม 2550 ที่ตุลาการรัฐธรรมนูญจะตัดสินคดียุบพรรค การเคลื่อนไหวของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีก็มากขึ้นทุกขณะ โผล่ให้สัมภาษณ์ในวิทยุชุมชนบ้าง ส่งคลิปภาพและเสียงบรรยายความรู้สึกผ่านเว็บไซต์กลุ่มคนที่ยังศรัทธาในตัวอดีตผู้นำ หรือข่าวเรื่องการกลับเมืองไทยในวันที่ 29 พฤษภาคมนี้ รวมถึงการได้รับมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ด้านเศรษฐศาสตร์ ที่รัสเซีย ล้วนแล้วเป็นข่าวที่ทำให้ฝ่ายรัฐบาลต้องออกมาตอบโต้และแสดงความเห็นทุกครั้ง

ขณะเดียวกันได้มีการนัดหมายของกลุ่มคนจากต่างจังหวัดที่จะเข้ามาชุมนุมกันในวันที่ 30 พฤษภาคมนี้ที่ท้องสนามหลวง ซึ่งตรงกับวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินในคดียุบพรรคการเมือง ขณะที่ทางการเร่งหาทางที่จะสกัดกั้นการเข้ามาชุมนุมในวันดังกล่าว

นับตั้งแต่การยึดอำนาจการปกครองของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก เมื่อ 19 กันยายน 2549 พร้อมกับได้รัฐบาลใหม่ชุดพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่อดีตนายกรัฐมนตรียังคงทำตัวให้เป็นข่าวในต่างประเทศตลอดเวลา ขณะที่ในประเทศไทยได้เกิดกลุ่มคนที่คัดค้านการเข้ามายึดอำนาจของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) และอีกหลายกลุ่มที่มีวัตถุประสงค์เดียวกัน คือปฏิเสธกลุ่มอำนาจใหม่และกลายเป็นแรงหนุนกลุ่มอำนาจเก่าไปในตัว

แม้อดีตนายกรัฐมนตรีจะยังคงไม่สามารถเดินทางกลับมาในประเทศไทยได้ แต่คนไทยทั้งประเทศยังรับรู้รับทราบท่าทีของทักษิณ ชินวัตร ได้ตลอดเวลา

กลุ่มที่สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีใช้ช่องทางป้อนข้อมูลข่าวสาร หรือความเคลื่อนไหวของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร และการเสนอข่าวในเชิงลบกับกลุ่มที่ต่อต้านอดีตนายกรัฐมนตรีผ่านสื่อในหลากรูปแบบ โดยเริ่มจากการรวมกลุ่มขึ้นมา เช่น กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ กลุ่มพลเมืองวิวัฒน์ สมาพันธ์ประชาธิปไตย และเครือข่าย 19 กันยาต้านรัฐประหาร

นอกจากการเคลื่อนไหวในกิจกรรมทางการเมืองต่าง ๆ แล้วยังได้เปิดเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านลบของฝ่ายตรงข้าม เช่น www.saturdayvoice.com ของกลุ่มคนวันเสาร์ฯ หรือ www.shinnawatradio.com และ www.hi-thaksin.org โดยเว็บไซต์หลังนี้กลายเป็นเว็บไซต์หลักที่นำเสนอเนื้อหาที่ต่อต้าน คมช.โดยตรง และนำเสนอภาพและเสียงที่พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร กล่าวถึงความในใจ 9 เดือนกับความในใจของทักษิณ เผยแพร่ต่อผู้ที่ยังชื่นชมในตัวอดีตนายกรัฐมนตรีท่านนี้

ปฏิบัติการ Money Politics

แหล่งข่าวจากหน่วยข่าวกรอง ระบุว่านับตั้งแต่พรรคไทยรักไทยเข้ามาบริหารประเทศ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ และเป็นปรากฎการณ์ใหม่ที่กลุ่มทุนหรือนักธุรกิจเข้ามาสวมบทนักการเมืองบริหารประเทศ (Money Politics) เงินทุนจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่นำมาใช้วางนโยบายหรือนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหา รวมถึงการทวงคืนอำนาจของอดีตนายกรัฐมนตรีในขณะนี้

"ช่องทางทั้งหมดที่คุณทักษิณใช้ ต้องขับเคลื่อนด้วยเม็ดเงินทั้งสิ้น ส่วนจะผ่านช่องทางใด ขณะนี้รัฐบาลก็ยังไม่สามารถตรวจสอบหรือสกัดเส้นทางของเงินได้"

ด้วยความรู้ความสามารถของทักษิณ ชินวัตร บวกกับเม็ดเงินที่มีอยู่ทั้งในและต่างประเทศเป็นขุมกำลังหลักที่ใช้สกัดกั้นกระบวนการถอนรากถอนโคนของอดีตผู้นำคนนี้ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าเป้าหมายหลักของการต่อสู้ในครั้งนี้พุ่งไปที่ คมช.และรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับภาคธุรกิจ ข้าราชการหรือภาคประชาชน แต่ก็ส่งผลให้ภาคส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องเหล่านี้ไม่กล้าออกมาให้การสนับสนุนรัฐบาล หรือบรรดาข้าราชการต่าง ๆ แม้จะไม่สามารถขัดคำสั่งของรัฐบาลได้แต่ความร่วมมือที่มีต่อรัฐบาลก็มีไม่เต็มที่จึงเป็นที่มาของคำว่า "เกียร์ว่าง"

ใช้สื่อชั้นเซียน

ด้านนักวิชาการในวงการสื่อสารที่ใกล้ชิดกับระบอบทักษิณ กล่าวว่า ยุทธวิธีที่อดีตนายกรัฐมนตรีใช้เพื่อปลุกขวัญหรือแสดงสถานะที่มีตัวตนของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่ายังเรืองอำนาจและบารมีอยู่ในขณะนี้คือ การใช้หลักประชาสัมพันธ์ทั่วไป แต่ทีมงานของเขารู้จักเลือกใช้สื่อที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ในการส่งต่อข้อมูลข่าวสารไปยังกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้สื่อที่ส่งข้อความมานั้นอาจจะจำกัดเฉพาะกลุ่มเช่นผ่านเว็บไซต์ หรือผ่านวิทยุชุมชนที่ยังให้การสนับสนุนอยู่ ซึ่งในวันดังกล่าวที่ส่งข่าวสารมาอาจจะรับรู้กันไม่กี่คน แต่พ.ต.ท.ทักษิณรู้ดีว่าเพียงแค่นี้ก็พอ เพราะโดยธรรมชาติของสื่อมวลชนเมื่อทราบว่าพ.ต.ท.ทักษิณเริ่มเคลื่อนไหวที่ไหนก็นำเสนอข่าวต่อทันนี้ ตรงนี้จากการได้ยินได้ฟังแค่คนกลุ่มเดียวก็สามารถกระจายได้ทั้งประเทศ ผ่านทั้งหนังสือพิมพ์ระดับประเทศและสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง

เพียงแค่นี้คนทุกชนชั้นก็ทราบความเคลื่อนไหวของอดีตนายกรัฐมนตรีได้ทั่งประเทศ!

นอกจากนี้ยังมีนัยยะอื่นที่ตามมาด้วย โดยเฉพาะกลุ่มระดับรากหญ้าที่เคยได้รับเม็ดเงินผ่านโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลชุดก่อน ก็เริ่มมีความหวังมากขึ้นต่อการกลับมาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เนื่องจากรัฐบาลชุดปัจจุบันได้เปลี่ยนแนวทางการบริหารไปจากเดิม เม็ดเงินที่คนกลุ่มนี้เคยได้รับถูกตัดออกไป

รวมถึงการสื่อไปถึงคมช.รัฐบาลและหน่วยงานอย่างคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ(คตส.) ที่กำลังเดินหน้าตรวจสอบและส่งฟ้องคดีต่าง ๆ ของอดีตนายกรัฐมนตรีว่าเขายังมีกลุ่มคนที่ยังรักและศรัทธราเขาอยู่ไม่น้อย และมองได้ว่าเป็นการกดดันการตัดสินคดียุบพรรคไปในตัว

"ต้องยอมรับความจริงว่าตัวคุณทักษิณยังมีเพาเวอร์อยู่มาก การทำอะไรแต่ละเรื่องล้วนแล้วแต่เป็นที่สนใจของผู้คนทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้นสื่อทุกที่จึงติดตามความเคลื่อนไหวของคุณทักษิณตลอดเวลา ถือว่าเข้าทางของคุณทักษิณ"

ยิ่งการที่รัฐบาลสั่งปิดสถานีวิทยุชุมชนคนรู้ใจ FM 87.75 MHz และวิทยุชุมชนคนแท็กซี่ FM 92.75 MHz รวมถึงเว็บไซต์ที่นำข้อความไปเผยแพร่ต่ออย่าง www.saturdayvoice.com และ www.shinnawatradio.com ยิ่งทำให้สุ่มเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่ารัฐบาลแทรกแซงสื่อมวลชน ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร

แม้ว่าจะมีการสั่งปิดวิทยุชุมชน 2 แห่งหรือปิดเว็บไซต์ไปบ้างแล้วก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่าอดีตนายกรัฐมนตรีจะใช้สื่อทั้ง 2 ประเภทนี้ไม่ได้อีก เพราะยังเหลือวิทยุชุมชนอีก 3,000 แห่งให้เลือกใช้ หรือปิดเว็บไซต์ก็เปิดใหม่ถือว่าไม่ใช่เรื่องยาก เช่น www.hi-thaksin.net เคยถูกบล็อกไม่ให้เข้า เขาก็เปลี่ยนมาเป็น www.hi-thaksin.org แค่นี้ก็สามารถสื่อข่าวสารกับประชาชนได้เหมือนเดิม

ขณะที่สื่อทางด้านโทรทัศน์พ.ต.ท.ทักษิณยังมี PTV ที่ก่อตั้งโดยอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคไทยรักไทย แม้จะยังไม่มีการนำพ.ต.ท.ทักษิณมาออกรายการ แต่เนื้อหานั้นชัดเจนว่ายืนอยู่คนละข้างกับรัฐบาลปัจจุบันและเน้นหนักไปที่การโจมตีทีมงานคมช.ที่เข้ามายึดอำนาจจากอดีตนายกรัฐมนตรี

PTV ออกอากาศด้วยการส่งสัญญาณผ่านดาวเทียม ใครที่ติดตั้งจานรับสัญญาณก็สามารถชมได้ ยิ่งในต่างจังหวัดยิ่งสะดวกเนื่องจากส่วนใหญ่เป็นสมาชิกเคเบิ้ลทีวีท้องถิ่นเพื่อรับสัญญาณการชมฟรีทีวีให้ชัดเจน จึงสามารถรับชมรายการของ PTV ได้

ขณะที่ทีมงานของสถานีโทรทัศน์ไอทีวีเดิม แม้ว่าจะโอนย้ายไปสังกัดกรมประชาสัมพันธ์ภายใต้รัฐบาลชุดนี้แล้วก็ตาม แต่เนื้อหาในการนำเสนอ รวมถึงการทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวบางท่านยังสอดแทรกมุมมองเชิงลบต่อรัฐบาลตลอดเวลา และเสนอข่าวสารของอดีตนายกรัฐมนตรีทุกครั้งเมื่อมีโอกาสเหมาะ

MMS-SMS ส่งถึงตัว

อย่างไรก็ดีแหล่งข่าวจากวงในพรรคไทยรักไทยและนักวิชาการด้านการสื่อสารกล่าวตรงกันว่า ยังมีสื่อประเภทอื่นที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะใช้ได้อีกเยอะ โดยเฉพาะสื่อผ่านโทรศัพท์มือถือเข้าไปถึงตัวบุคคล อย่างเช่น SMS (Short Message Service) หรือเป็นบริการส่งข้อความสั้นๆ ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ที่สามารถส่งไปยังผู้รับโดยไม่ต้องกังวลว่าพื้นที่ของผู้รับจะมีสัญญาณหรือไม่ในขณะนั้น หากทางปลายทางไม่มีสัญญาณระบบ SMS นี้จะเก็บข้อมูลไว้จนกว่าปลายทางมีสัญญาณทางระบบจึงจะทำการส่งข้อมูลไปในทันที นอกจากนี้แล้ว SMS ยังสามารถส่งข้อความที่ได้รับมาต่อไปยังหมายเลขอื่น ๆ ได้อย่างไม่จำกัด

หรืออาจใช้ MMS (The Multimedia Messaging Service) ที่สามารถส่งภาพและคลิปภาพและเสียงไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่ปลายทางได้

ขณะที่ผู้ให้บริการก็มีพร้อมอยู่แล้วอย่าง AIS ที่แม้จะขายให้กับเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ไปแล้ว แต่คนใน AIS ทุกวันนี้ก็เป็นทีมงานของบุญคลี ปลั่งศิริ มือขวาของอดีตนายกทั้งสิ้น

"สื่อประเภทนี้สามารถส่งถึงเจ้าของโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้โดยตรง ไม่ว่าจะแจ้งข่าวสารหรือกำหนดนัดหมาย สื่อประเภทนี้แตกต่างจากสื่ออย่างวิทยุ โทรทัศน์หรืออินเทอร์เน็ต ที่เปิดเผยต่อสาธารณะ แต่ SMS และ MMS ถือเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลที่กฎหมายให้ความคุ้มครอง การตรวจสอบทำได้ไม่ง่ายนัก และการดักฟังข้อมูลเหล่านี้ทำได้ไม่ง่ายเช่นกัน" แหล่งข่าวระบุ และย้ำว่า

หากกลุ่มอำนาจเดิมต้องการทำอะไรสักอย่างที่ไม่ต้องการเปิดเผยต่อบุคคลอื่น ช่องทางนี้ก็ใช้ได้เป็นอย่างดี เช่น นัดรวมพล หรือส่งสารเพื่อขอความร่วมมือต่าง ๆซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลและคมช.ต้องเฝ้าติดตามเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเรียกระดมพลด้วยวิธีนี้

"ทักษิณ"พรีเซนเตอร์

ไม่เพียงแค่การใช้สื่อเพื่อปลุกเร้ากลุ่มคนที่ยังศรัทธาหรือรอความหวังจากอดีตนายกรัฐมนตรีคนนี้ เขายังมีกิจกรรมอื่น ๆ เข้ามาใช้ควบคู่กันด้วยนั่นคือการสร้างกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมืองต่าง ๆ ทั้งรูปแบบองค์กรเทียบได้กับการจัดกิจกรรมทางการตลาด(Event Marketing) เช่น สมาพันธ์ประชาธิปไตย กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ กลุ่ม PTV เป็นต้น

รวมทั้งการแจกจตุคาม รามเทพ รุ่น 1 บาทปราบกบฏ ของกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการที่จัดทำขึ้นในวันที่ 30 พฤษภาคมนี้ 2 แสนองค์ ให้องค์ละ 1 คน และต้องไปรับด้วยตัวเองเท่านั้น นั่นหมายความว่าคนที่ท้องสนามหลวงอาจจะมีนับแสนคนทั้งที่บางคนต้องการเพียงบูชาองค์จตุคาม โดยมิได้เป็นสมาชิก PTV ก็จะกลายเป็นพลังที่ช่วยหนุนอดีตนายกรัฐมนตรีไปในตัว

ขณะที่ตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทในประเทศมากขึ้น เช่น นั่งเก้าอี้นายกสมาคมกอล์ฟอาชีพไทยที่พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ที่ยกตำแหน่งให้ และการเดินสายในต่างประเทศสร้างความชอบธรรมด้วยการให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ หรือการเข้าร่วมประชุมโดฮาฟอรัมว่าด้วยประชาธิปไตย การพัฒนาและการค้าเสรีครั้งที่ 7 (THE 7TH DOHA FORUM ON DEMOCRACY, DEVELOPMENT AND FREE TRADE) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-25 เมษายน 2550 ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ และซื้อสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้

ดังนั้นตัวของพ.ต.ท.ทักษิณจึงอยู่ในความสนใจของคนไทยและคนทั่วโลกตลอดเวลา คดียุบพรรค คดีทุจริตต่าง ๆ ต่างชาติจึงให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ถือเป็นการฟ้องนานาประเทศไปในตัว

นี่คือความเหนือชั้นของอดีตนายกรัฐมนตรี ที่รัฐบาลและ คมช.ยังห่างชั้นอยู่มาก แม้ว่าเขาจะอยู่นอกประเทศ แต่ก็สามารถทำให้รัฐบาลและ คมช. รวมถึงฝ่ายที่เตรียมเล่นงานอดีตนายกรัฐมนตรีต้องห่วงหน้าพะวงหลังเช่นกัน หากเขาสามารถกลับมามีอำนาจได้อีกครั้ง

แฉเส้นทาง"เงิน-นอมินี"ซื้อแมนซิตี้" คมช-รัฐบาล" ไล่ไม่ทัน-สร้างกลลวงทั่วโลกประณามไทย

แฉเส้นทางการเงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการซื้อแมนซิตี้ โดยเฉพาะการใช้เงินในต่างประเทศมีการเตรียมการไว้อย่างเป็นระบบ พร้อมจัดหานอมินี และสัญญาถ่ายโอนไว้แล้ว ขณะที่รัฐบาล-คมช.ไม่มีโอกาสไล่ล่า "เงินก้อนนี้"ได้ทัน ส่วนการใช้เงินในประเทศซื้อเป็นเพียงเรื่อง "ขำ ๆ" เพื่อให้ประชาคมโลกได้รู้ว่าถูกกลั่นแกล้งจากผู้มีอำนาจ!

ต้นเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ข่าวการเข้าซื้อสโมสรฟุตบอลทีม "แมนเชสเตอร์ซิตี้" ด้วยมูลค่าที่สูงถึง 120 ล้านปอนด์ หรือราว ๆ 7,500 ล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สามารถสร้างความสนใจให้กับสังคมอย่างกว้างขวางหลายฝ่ายมองว่า กระแสข่าวดังกล่าวจะเงียบหายไปดังเช่นเมื่อครั้งการซื้อสโมสรฟุตบอลก่อนหน้านี้ อาทิ ทีมฟูแลมและลิเวอร์พูล ทว่า นพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายได้รายงานความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าวว่าขณะนี้ ถึงขั้นเจรจาเรียบร้อยเหลือเพียงการควักกระเป๋าซื้อเท่านั้น "ข่าวลือ" จึงใกล้จะเป็น"ข่าวจริง"มากขึ้นทุกขณะ

เมื่อย้อนไปมองเส้นทางการนำเงินไปซื้อทีมฟุตบอลดังกล่าวนั้นพบว่า มีความเป็นไปได้ 2 แนวทางที่พ.ต.ท.ทักษิณจะเลือกใช้ คือ การนำเงินจากในประเทศไปลงทุนและการใช้เงินนอกประเทศเพื่อลงทุนแทนหากเงินภายในประเทศถูกระงับโดยธปท.

ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

แนวทางที่ 1 ที่ตกเป็นข้อถกเถียงอยู่เวลานี้ คือการขอนำเงินที่อยู่ในประเทศไทยไปซื้อ เช่นเดียวกับขอนำเงิน 400 ล้านบาทไปซื้อบ้านในอังกฤษ ซึ่งประเด็นนี้แหล่งข่าวฝ่ายกฎหมายจากแบงค์ชาติและสถาบันการเงิน ฉายภาพให้ฟังว่า ตามพ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กรณีคนไทยที่มีความต้องการที่จะนำเงินไปลงทุนยังต่างประเทศมากกว่า 50 ล้านดอลลาร์ จำเป็นที่จะต้องแสดงหลักฐานในหารซื้อ-ขายหรือเจตจำนงว่าต้องการทำธุรกิจอย่างจริงจังไม่มีสิ่งใดแอบแฝง เพื่อขออนุญาตต่อธปท.

ในจุดนี้เอง ได้มีการจับตามองจากสังคมว่า การติดต่อเข้ามายังธปท.เพื่อขอนำเงินออกนอกประเทศครั้งนี้พ.ต.ท.ทักษิณอาจ"ติดกับดัก" ของตนเอง จนอาจเป็นช่องทางที่ช่วยสาวไปถึงบัญชีลับที่ซุกซ่อนอยู่ในต่างประเทศได้ ทว่า นักธุรกิจมือระดับพระกาฬอย่างพ.ต.ท.ทักษิณ จะมองข้ามจุดนี้ไปได้อย่างไร ซี่งการเดินเกมครั้งนี้อาจจะเป็นการวางหมากสองชั้นของพ.ต.ท.ทักษิณ มากกว่าที่จะเป็นการพลาด

เปิด"ช่องโหว่"ให้ถูกสวนกลับได้

ดังนั้น หากรัฐบาล-คมช.อ่านเกมขาด โอกาสที่แนวทางดังกล่าวจะถูกสกัดดาวรุ่งจึงอาจจะเกิดขึ้นได้ ทว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มิได้วิตกในเรื่องดังกล่าวมากนักเพราะเป้าประสงค์ในการ "ประชาสัมพันธ์" ค่อนข้างได้ผลตามที่วางไว้ ซึ่งหลังจากที่ปรากฎข่าวดังกล่าวออกมาสังคมโลกได้รับรู้ถึงความไม่ยุติธรรมและการกลั่นแกล้งของผู้มีอำนาจในรัฐบาลและคมช.มากขึ้นอีกระดับ

การเปิดเกมรุกของพ.ต.ท.ทักษิณ ในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นการ "ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว" ซึ่งจุดที่หนึ่งคือสามารถเป็นการการผ่องถ่ายเงินไปยังต่างประเทศเพื่อป้องกันการถูกอายัดได้อย่างง่ายดาย และสองสามารถที่จะจุดประเด็นความสนใจให้เกิดขึ้นในสังคมไทยและต่างประเทศได้อย่างกว้างขวาง หมากเกมนี้จึงเป็นหมากที่พ.ต.ท.ทักษิณวางไว้อย่างแยบยลอย่างที่สุดตาหนึ่ง...

เปิดท่อ"ผ่องถ่าย"เงิน

มรรคผลที่ได้จากหมากตานี้ นั้นเมื่อมองว่า ธปท.มีสิทธิ์ชี้ขาดว่าพ.ต.ท.ทักษิณจะสามารถนำเงินไปซื้อหุ้นได้สมใจหรือไม่ ซึ่ง คำตอบที่หนึ่ง หากมีการอนุญาตให้นำเงินไปได้ เกมนี้พ.ต.ท.ทักษิณ จะได้เปรียบรัฐบาล-คมช.อย่างมาก ซึ่งหากมีการอนุมัติในครั้งแรกจะเท่ากับว่าเป็นการเปิดประตูให้พ.ต.ท.ทักษิณสามารถที่จะผ่องถ่ายเงินไปยังต่างประเทศเพื่อป้องกัน ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากมีการดำเนินคดีทุจริตกว่า13โครงการที่รออยู่ในอนาคตได้

กระนั้น เงิน 7,500 ล้านบาทในการซื้อทีมฟุตบอลดังกล่าวจึงเป็นเพียงค่าผ่านประตูที่พ.ต.ท.ทักษิณจะใช้ป็นช่องทางในการผ่องถ่ายทรัพย์สินต่อไปในอนาคต ที่สำคัญการทำธุรกิจต้องมีเงินทุนหมุนเวียน และธุรกิจที่ต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนสูงอย่างการทำทีมฟุตบอลจึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณเลือกลงทุนในธุรกิจนี้โดยการทำกิจกรรมต่างๆอาทิ การซื้อนักเตะ การสร้างสนามใหม่ ฯลฯล้วนแล้วแต่เป็นเหตุผลที่ใช้ในการขออนุมัติเพื่อนำเงินออกนอกประเทศได้อย่างไม่มีสิ้นสุด

นอกจากนี้ เมื่อสามารถนำเงินออกได้ได้แล้วการจะขายทีมฟุตบอลดังกล่าวเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ในกรณีต่างๆก็สามารถทำได้อย่างไม่มีข้อจำกัดและยากยิ่งต่อการอายัดทรัพย์ เม็ดเงินดังกล่าวจึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าเงินจำนวนนั้นจะตีกลับมาใช้โจมตีรัฐบาล-คมช.เองหรือไม่

"เงิน 7,500 ล้านบาทที่นำไปเป็นเงินต้นในการลงทุนซื้อทีมฟุตบอลนั้น อย่าลืมว่า เมื่อเกิดเป็นการทำธุรกิจย่อมต้องมีเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ อาทิ หญ้าสนามตายต้องเปลี่ยน ต้องหาผู้เล่นเพิ่มหรือสร้างสนามแข่งใหม่ ฯลฯ สิ่งต่างๆเหล่านี้จะถูกนำมาอ้างเป็นเหตุผลในการย้ายเงินสดไปยังต่างประเทศได้อย่างไร้ข้อกังขา

เงินที่ถูกนำไปถือในต่างประเทศนั้น ไม่มีใครที่จะสามารถทราบได้ว่าจะถูกนำมาโจมตีรัฐบาลและคมช.เองหรือไม่ หรือว่าท้ายที่สุดเมื่อย้ายเงินไปจนหมดก็อาจขายกิจการแล้วเก็บเงินไว้ในมือได้อีกด้วย"

วางหมากดิสเครดิตรัฐบาล

ดังนั้น เมื่อมองว่าการอนุมัติให้พ.ต.ท.ทักษิณนำเงินออกไปลงทุนยังต่างประเทศนั้นอาจจะสร้างปัญหาได้ในอนาคต หากธปท.เลือกที่จะตัดเส้นทางการลำเลียงเงินดังกล่าวก็อาจจะเป็นคำตอบที่ถูกต้อง แต่จะเป็นดังนั้นจริงหรือ..!?

เมื่อลองไร่เลียงเหตุการณ์นับตั้งแต่ วันรัฐประหารเมื่อวันที่ 19ก.ย.เป็นต้นมา จะพบว่าพ.ต.ท.ทักษิณพยายามที่จะประกาศให้โลกรู้ว่า เขาคือผู้นำที่บริสุทธิ์ที่ถูกโค่นอำนาจด้วยอำนาจเผด็จการทหาร ซึ่งบาดแผลนี้เป็นแผลที่ยากจะลบของรัฐบาล-คมช. และยิ่งหากครั้งนี้ ไม่มีการอนุมัติวงเงินดังกล่าวก็เท่ากับว่าเป็นการกลั่นแกล้งพ.ต.ท.ทักษิณได้ ซึ่งถึงแม้จะอ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีความเกี่ยวพันกับคดีทุจริต ต่างๆก็จริงแต่ ยังไม่มีบทสรุปออกมาจากศาลว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีความผิดจริงในสายตาของชาวต่างชาติก็ยังมองว่าพ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้บริสูทธิ์อยู่ดีนั่นเอง

เป้าประสงค์ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งเป้าไว้นั้นจึงเป็นความต้องการที่จะใช้ต่างประเทศหรือความเป็นสากลมาบีบรัฐบาลไทย ฉะนั้นจึงอยู่ที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยและคตส.ว่าจะมีการอนุญาตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปซื้อทีมฟุตบอลครั้งนี้หรือไม่ ถ้าไม่ก็จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลไม่สนับสนุนกีฬาไทย แต่หากว่ามีการอนุญาตให้ขนเงินไปซื้อทีมฟุตบอลได้ ก็จะแสดงความบริสุทธิ์ของตัวพ.ต.ท.ทักษิณ กับสากล เพราะหากไม่บริสุทธิ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจะอนุญาตให้นำเงินไปลงทุนต่างประเทศได้อย่างไร ดังที่แหล่งข่าวใกล้ชิดพ.ต.ท.ทักษิณเปิดเผยต่อ "ผู้จัดการรายสัปดาห์อธิบายว่า

"ด้วยความชอบในกีฬาฟุตบอลของพ.ต.ท.ทักษิณนั้น ย่อมเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดความคิดที่จะซื้อทีมฟุตบอลพรีเมียมลีกครั้งนี้ขึ้น แต่เหตุผลสำคัญกว่านั้นคือการซื้อทีมฟุตบอลครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลายเป็นผู้ที่มีแต่ได้กับได้ ขณะที่รัฐบาลและคมช.ถ้าตามเกม พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ทันก็จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันที โดยเฉพาะในเชิงของการประชาสัมพันธ์ รัฐบาลจะเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง"

ดังนั้น เมื่อมองไปถึงการต่อสู้กับรัฐบาล-คมช.แล้ว ก็ต้องบอกว่าเกมนี้เป็นเกมธุรกิจกึ่งการมือง ซึ่งต้องยอมรับว่าทางฝ่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นฝ่ายรุกที่ค่อนข้างเก่งและมีความเชี่ยวชาญเกมกว่าภาครัฐบาลที่ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการเก่าที่อาจไม่ทันเกมการเมือง

นำเงิน"ซุก"กว่า 1.6 แสนล้านซื้อหุ้น

อย่างไรก็ตาม ทางออกที่พ.ต.ท.ทักษิณได้เตรียมไว้ในกรณีที่ธปท.ระงับวงเงินดังกล่าวนั้น ตามที่ แหล่งข่าวในแวดวงการเงินวิเคราะห์เส้นทางการเงินของพ.ต.ท.ทักษิณว่า เมื่อย้อนไปสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังดำเนินธุรกิจโทรคมนาคม โดยการเป็นตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือยี่ห้อดัง และเจ้าของสัมปทานคลื่นโทรศัพท์ อันเป็นยุคบุกเบิกของโทรศัพท์มือถือ โดยราคาต่อเครื่องอยู่ที่ประมาณ 20,000-30,000 บาท ซึ่งต้นทุนที่แท้จริงอยู่ที่ราวๆ 5,000 บาท กำไรต่อเครื่องจึงอยู่ที่ 10,000-20,000 บาท ซึ่งเมื่อคูณเลขหมายในขณะนั้นกว่า 8 ล้านเลขหมาย ก็จะเป็นจำนวนประมาณ1.6 แสนล้านบาท โดยเงินดังกล่าวถูกเก็บสะสมไว้ที่บริษัทแห่งหนึ่งของพ.ต.ท.ทักษิณในหมู่เกาะ "เคย์แมน"และ "บริติช เวอร์จิน"ซึ่งวิธีการลำเลียงเงินนั้นมีวิธีคือ การใช้บริษัทลูกซึ่งตั้งไว้ที่เกาะเคย์แมน สั่งซื้อสินค้าจากบริษัทแม่ที่ประเทศไทย เป็นจำนวนเงินที่สูงกว่าปกติ เทียบได้ว่า จากราคาเครื่อง 100 บาท ก็จะขายให้บริษัทลูก 120 บาท ซึ่งเงิน 20 บาทนั้นก็จะถูกเก็บสะสมไว้ที่บริษัทลูก ส่วนเงิน 100 บาทค่าต้นทุนก็จะส่งไปยังบริษัทผู้ผลิตมือถือ และเงินดังกล่าวก็ถูกนำมาใช้เป็นทุนหมุนเวียนของตระกูล รวมถึงอาจจะถูกนำมาใช้ในการซื้อทีมฟุตบอลดังกล่าวก็ได้

ดัน "อัลฟายัด" เป็นนอมินีซื้อทีม

ดังนั้นเงินทุนที่สูงถึง1.6แสนล้านบาท ที่มีอยู่ในต่างประเทศจึงเป็นแนวทางที่ 2 ในการซื้อทีมฟุตบอลดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่ง่ายปานหยิบของออกจากย่าม แต่สิ่งที่ถูกจับตาจากหลายฝ่ายคือ เงินที่จะนำมาซื้อนั้นอาจถูกสาวและอาจจะเป็นการ"ซุกหุ้น"ภาคสามก็เป็นได้

ทางออกในเรื่องดังกล่าวที่พ.ต.ท.ทักษิณเตรียมไว้ ว่ากันว่าอาจขอความร่วมมือจากเพื่อนซี้อย่าง "โมฮัมเหม็ด อัลฟายัด" เจ้าของห้าง"แฮร์รอต"ของประเทศอังกฤษและเจ้าของทีมฟุตบอล"ฟูแลม" โดยทำสัญญาซื้อขายกันในทางลับซึ่งก็ยากที่จะสืบถึงที่มาที่ไปของเงินได้ เรียกได้ว่าปิดเส้นทางการสาวถึงได้อย่างสนิท

เมื่อมองย้อนไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ.ต.ท.ทักษิณและอัลฟายัด นั้นพบว่าในสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณเรืองอำนาจนั้น อัลฟายัดได้รับความช่วยเหลือในธุรกิจเชื้อเพลิงในการลดค่าสัมปทานและขยายเวลาในการรับช่วงสัมปทานออกไป ด้วยน้ำมิตรครั้งนั้นจึงทำให้เกิดมิตรภาพระหว่างคนทั้งคู่ยืนยาวมาถึงปัจจุบัน จนถึงกับเปิดคฤหาสน์เลี้ยงดูปู่เสื่อพ.ต.ท.ทักษิณอย่างดีเมื่อคราวลี้ภัยไปยังประเทศอังกฤษ ดังนั้นว่ากันว่าการเล่นบทนอมินีในการซื้อทีมฟุตบอลให้พ.ต.ท.ทักษิณจึงเป็นสิ่งที่เพื่อนสามารถที่ตอบแทนเพื่อนได้ ทั้งยังเป็นการการันตีถึงความน่าเชื่อถือของพ.ต.ท.ทักษิณได้อย่างดีอีกด้วย

วัดกึ๋นทักษิณ-คตส.

อย่างไรก็ตาม มิใช่ว่า รัฐบาล-คมช.จะไม่สามารถโต้กลับพ.ต.ท.ทักษิณได้ เพียงแต่ว่าการรุกกลับนั้นจำเป็นต้องมีเงื่อนไขที่จะสามารถใช้ตอบกับนานาประเทศได้ว่ามีความชอบธรรมและไม่เลือกปฎิบัติในการระงับเงินก้อนดังกล่าวของพ.ต.ท.ทักษิณ

ตัวจักรสำคัญ จึงไม่พ้น อาวุธสำคัญอย่างคตส.ที่มีหน้าที่หลักในการยื่นฟ้องคดีทุจริตโครงการต่างๆ ซึ่งเมื่อศาลรับฟ้องแล้วต้องมีการระงับการเดินทางการระงับการใช้จ่ายเงินหรืออายัดทรัพย์สินของพ.ต.ท.ทักษิณโดยให้เหตุผลว่า อาจมีผลต่อการพิจารณาคดี ซึ่งอาจจะนำเงินดังกล่าวไปใช้ในทางมิชอบได้ วิธีนี้จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะสามารถลดบทบาทความเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณลงได้

วินาทีนี้ จึงต้องจับตาว่า ระหว่างพ.ต.ท.ทักษิณที่ถูกกดดันอย่างหนักทั้งจากคดียุบพรรคอันเป็น บันไดสู่การคืนอำนาจทางการเมืองรวมถึง การสูญทรัพย์สินเงินมูลค่ามหาศาลในการดำเนินคดีทุจริตโดยคตส. ทำให้การเดินเกมในช่วงนี้เพื่อสร้างกระแสและกดันรัฐบาล-คมช.รวมถึงการออกโรงปกป้องตนเองและครอบครัวเป็นไปอย่างต่อเนื่องและหนักขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งต้องวัดฝีมือว่าหลักฐานที่คตส.ได้รวบรวมมานั้น จะเป็นหลักฐานเด็ดที่สามารถตัดความเคลื่อนไหวและเอาผิดพ.ต.ท.ทักษิณได้หรือไม่...


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.