ด้วยวัยเพียง 18 ปี ในปี 2457 จันฮกซุ่น ตัดสินใจออกจากบ้านเกิดที่ตำบลตะลุบัน
อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี พร้อมเงินที่ขอจากบิดา จันกิมกวย จำนวน 3,000
บาท เดินทางไปเสี่ยงโชคที่เมืองปัตตานี โดยการเปิดร้าน "จันซุ่นเซ่ง"
ขึ้น
กิจการแรกของจันซุ่นเซ่งที่ปัตตานี ก็คือ การเป็นตัวแทนจำหน่ายน้ำมันก๊าดตรามงกุฎซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทน้ำมันเชลล์
ซึ่งมีสาขาอยู่ที่เกาะปีนัง
หลังฝ่ามรสุมชีวิตหลายอย่าง ทั้งเรื่องครอบครัวที่บิดามารดาเสียชีวิต ในขณะที่เขาต้องรับภาระเลี้ยงดูน้อง
ๆ งานของจันซุ่นเซ่ง ก็สามารถที่จะขยายตัวได้ดีในเวลาต่อมา ด้วยการเปิดร้าน
"จันเอ็กเซ่ง" ด้วยการรับสัมปทานบริษัทเอเซียติก ในการขายสินค้าหลายอย่างนอกเหนือจากร้าน
"จันซุ่นฮวด" ที่บิดาทิ้งไว้เป็นมรดกที่สายบุรี
จันฮกซุ่นรู้ดีว่า งานที่มีมากนี้ ลำพังตัวของเขาเอง ไม่สามารถที่จะรับภาระได้แน่นอน
ดังนั้น เขาจึงได้ชักชวนโหง่วฮักเหลี่ยม หรือ ฮักเหลี่ยม แซ่โหง่ว ลูกพี่ลูกน้อง
ให้เดินทางมาจากมณฑลฮกเกี้ยน ในประเทศจีน ให้เดินทางมาช่วยงาน
2 แรงแข็งขันของ 2 ตระกูล คือ แซ่จั่น ต้นกำเนิด "จันทรัศมี"
และแซ่โหง่ว ต้นกำเนิด "โกวิทยา" ดูจะทำได้ดีจนเครือข่ายของพวกเขาขยายตัวมากมาย
และเป็นตำนานว่า เมื่อเอ่ยถึงพิธานพาณิชย์ ก็ต้องเอ่ยถึงทั้ง 2 ตระกูลคู่กันไป
ชื่อเสียงของทั้งคู่ ได้รับการติดต่อจากบริษัทยาสูบในอังกฤษและอเมริกา
บริษัทเนสเล่ บริษัทขายรถยนต์เชฟโรเล็ต บริษัทเฟรเซอร์แอนด์เนฟ (ขายน้ำอัดลม)
บริษัทปูนซิเมนต์ไทย บริษัทยางกู๊ดเยียร์ เป็นต้น ต่างก็ติดต่อให้เป็นตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่ใกล้เคียง
จนกระทั่งจั่นฮกซุ่นรู้ว่า เครือข่ายแค่ปัตตานีไม่เพียงพอ จึงมีการตั้งร้าน
"จันเต็งเซ่ง" ขึ้นที่สุไหงโก-ลก ในเวลาต่อมา
ขณะเดียวกัน จันฮกซุ่น ก็เริ่มสนใจทำธุรกิจที่เป็นทรัพยากรหลักของภาคใต้นั่นคือ
ยางพารา ถึงกับลงทุนซื้อที่ดินจำนวนมากเพื่อทำสวนยางพาราและส่งออกไปยังต่างประเทศ
โดยมีเครือข่ายการกระจายสินค้าอยู่ที่เมืองปินัง
ด้วยความที่เป็นรู้คุณแผ่นดิน หลังจากที่กิจการต่าง ๆ ขยายตัวมาก ตัวของจันฮกซุ่น
ก็เริ่มมีการบริจาคเพื่อสาธารณประโยชน์มากมาย ทั้งการสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล
เพื่อให้ท้องถิ่นมีความก้าวหน้า
ดังนั้น ในปี 2474 จันฮกซุ่น จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นหลวงพิธานอำนวยกิจ และนามสกุล "จันทรัศมี" ด้วยวัยเพียง 35
ปี
จากนั้นไม่นาน สายตายาวไกลของหลวงพิธานอำนวยกิจ เขามองว่า กิจการน้ำมันเบนซินและน้ำมันเชื้อเพลิงอื่น
ๆ ขายดี ธุรกิจต่อเนื่องก็น่าที่จะขายได้ดีด้วย เขาจึงติดต่อไปยังบริษัทเยนเนอรัล
มอเตอร์ สหรัฐอเมริกา เพื่อขอเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ของบริษัท พร้อมทั้งขยายเครือข่ายเข้าไปยังเมืองยะลา
ด้วยการเปิดร้าน "จันเอ็กเซ่ง" ขึ้นมาอีกแห่ง
หลังจากการเดินทางกลับไปยังประเทศจีน ผ่านหลาย ๆ ประเทศทั้งปีนัง สิงคโปร์
ฟิลิปปินส์ ฮ่องกงและในประเทศจีนหลายเมือง ทั้งเซี่ยงไฮ้ นานกิง ชานตุง ปักกิ่ง
เทียนสิน ไฮนิง ฮกเกี้ยน (ซึ่งเป็นดินแดนบรรพบุรุษ) ในช่วงปี 2480-81 เมื่อกลับมาเมืองไทย
เขาจึงมองถึงแนวทางที่จะเปลี่ยนแปลงธุรกิจ
ดังนั้น เมื่อกลับมาถึงปัตตานี ในปี 2482 หลวงพิธานอำนวยกิจ จึงตัดสินใจรวบกิจการหลาย
ๆ แห่ง ซึ่งเขามองว่ายุ่งยากในการบริหารและวางแผน เข้ามาเป็นบริษัทเดียว
ด้วยการจดทะเบียนตั้งบริษัท "พิธานพาณิชย์" ขึ้นเมื่อวันที่ 5
มกราคม 2482 และให้ร้านต่าง ๆ มีฐานะเป็นสาขา โดยมีผู้จัดการสาขาแต่ละแห่งเป็นผู้ดูแล
ขณะเดียวกัน เครือข่ายด้านสวนยางก็มีมากขึ้น เมื่อเขาซื้อที่ดินในนราธิวาสหลาย
ๆ อำเภอเพื่อปลูกยางพารา จนกลุ่มพิธานพาณิชย์ กลายเป็นกลุ่มที่มีสวนยางมากที่สุดกลุ่มหนึ่งในยุคนั้น
ก้าวกระโดดก้าวแรกของกลุ่มพิธานพาณิชย์ เกิดขึ้นเมื่อเปิดสาขาหาดใหญ่ขึ้นมาในปี
2488 ภายหลังจากที่ครอบครัวของเขาหนีภัยสงครามมหาเอเซียบูรพามายังหาดใหญ่และหลวงพิธานฯ
มองเห็นว่า หาดใหญ่กำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจในอนาคต จึงได้ซื้อที่ดินเพื่อเปิดสาขาดังกล่าวขึ้น
เช่นเดียวกับที่หลวงพิธานฯ ได้เปิดสาขาพิธานพาณิชย์ขึ้นที่เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย
เพื่อเป็นศูนย์กลางการติดต่อในมาเลเซีย เพราะช่วงดังกล่าว ปีนังเป็นเมืองท่าที่สำคัญเมืองหนึ่งในการค้าระหว่างประเทศในยุคนั้น
เครือข่ายของพิธานพาณิชย์ จึงไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะเมืองไทย หากแต่เป็นเครือข่ายระหว่างประเทศที่สำคัญในยุคนั้น
จนกระทั่งบริษัทเยนเนอรัลมอเตอร์ ได้ประกาศให้พิธานพาณิชย์เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ของบริษัทในภาคใต้ทั้งหมด
เมื่อหลวงพิธารอำนวยกิจ ถึงแก่กรรมในวันที่ 8 กรกฎาคม 2497 เครือข่ายของกลุ่มพิธานพาณิชย์
ก็มีมากมายเกินกว่าที่เขานึกมากนัก
วันนี้ ภารกิจของเครือข่ายกลุ่มพิธานพาณิชย์ ถูกผ่องถ่ายจากรุ่นลูกของหลวงพิธารอำนวยกิจ
มาสู่รุ่นหลานของเขาที่อาจจะก้าวไกลเกินกว่าที่หลวงพิธารมองเห็นและคิดไม่ถึงในบั้นปลายของชีวิต
เพราะวันนี้ รุ่นหลานของเขา กำลังลงไปสู่ธุรกิจการพัฒนาที่ดิน ที่เป็นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าธุรกิจอื่น
ๆ ที่กลุ่มพิธานพาณิชย์เคยทำมา
เงินเพียง 3,000 บาทของเด็กหนุ่มวัย 18 ปี เมื่อเกือบ 80 ปีก่อน ไม่น่าเชื่อว่า
จะมาไกลถึงวันนี้ได้!!!