|
ทีเอฟเตรียมแหย่หนวดไวตามิ้ลค์ลงสมรภูมินมถั่วเหลืองนำร่องเขมรก่อนบุกไทย
ผู้จัดการรายวัน(25 พฤษภาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ สนนมถั่วเหลือง ล่าสุดทดลองตลาดในประเทศกัมพูชา ภายใต้แบรนด์ กรีนเมท พร้อมมองเวียดนามเป็นขุมทรัพย์ใหม่ ที่จะนำมาม่าเข้าตีตลาดต่อไป ส่วนปีนี้เดินหน้าลุยเพิ่มศักยภาพการผลิตต่อเนื่อง เตรียมปูพรมต่อยอดธุรกิจในอนาคต หลังไตรมาสหนึ่งโกยรายได้ไปแล้วกว่า 1,379.315 ล้านบาท ยิ้มรับสิ้นปี คาดรายได้แตะ 7,000 ล้านบาทแน่นอน
นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ กรรมการและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากกระแสของผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนมถั่วเหลือง กำลังได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีผลวิจัยออกมาว่า สารสกัดที่ได้จากถั่วเหลืองมีคุณประโยชน์เป็นอย่างมาก รวมถึงนมถั่วเหลืองด้วย บริษัทฯเองจึงมองว่าน่าจะเป็นสินค้าใหม่ที่จะให้ผลตอบแทนที่ดี ดังนั้นขณะนี้ทางบริษัทฯได้เริ่มทดลองผลิตสินค้านมถั่วเหลืองแล้วประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมา จากโรงงานเครื่องดื่ม กรีนเมท ที่จังหวัดราชบุรี โดยเป็นการผลิตเพื่อทดลองตลาดในประเทศกัมพูชาก่อน ภายใต้แบรนด์ กรีนเมท เช่นเดียวกัน คาดว่าหากได้รับการตอบรับที่ดี ก็พร้อมที่นำกลับมารุกตลาดในประเทศไทยต่อไป
“นมถั่วเหลืองทำไม่ยาก อีกทั้งบริษัทฯเองมีโรงงานผลิตเครื่องดื่มอยู่ก่อนแล้วด้วย จึงมองว่าจะใช้งบลงทุนไม่สูงมากนัก แต่ในส่วนที่ทำยากคือ การตีตลาดมากกว่า เนื่องจากตลาดนี้มีเจ้าตลาดที่ค่อนข้างแข็งแรงอยู่ก่อนแล้วถึง 2 แบรนด์ เช่น แลคตาซอยและไวตามิ้ลค์ การที่จะตีตลาดได้จึงค่อนข้างลำบาก แต่อย่างไรก็ตามบริษัทฯก็ยังคงให้ความสนใจที่จะผลิตนมถั่วเหลืองต่อไป เพราะมองว่าเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตที่ดี ปีละประมาณ 15% ในแง่มูลค่า หรือมีตลาดรวมอยู่ที่ 7,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา ดังนั้นทางบริษัทฯจึงได้เริ่มทดลองทำตลาดสินค้านมถั่วเหลืองไปบ้างแล้ว 2-3 เดือนที่ผ่านมาในประเทศกัมพูชา คาดว่า6 เดือนหลังทดลองตลาด จะทราบได้ว่าสินค้าดังกล่าวจะทำตลาดได้หรือไม่ ซึ่งหากไม่มีปัญหาอะไร ก็จะเริ่มทำตลาดในประเทศไทยต่อไป ทั้งนี้การที่ทดลองตลาดนมถั่วเหลืองในกัมพูชานั้น เนื่องจากข้อกฏหมายที่ง่ายและไม่ยุ่งยากเท่าประเทศไทยนั้นเอง”
อย่างไรก็ตามในกลุ่มเครื่องดื่มที่ทำตลาดอยู่ในประเทศกัมพูชาขณะนี้ได้แก่ น้ำฟัก, น้ำลำไย, น้ำลิ้นจี่ ภายใต้แบรนด์ กรีนเมท ซึ่งเป็นการทำตลาดมากว่า 2-3 ปีแล้ว โดยเป็นการทำตลาดใน 2 ลักษณะ คือ 1. แบบเป็นทางการ และ 2.เป็นการแทรกซึมนำเข้าไปจำหน่ายผ่านทางตะเข็บชายแดน ซึ่งสามารถสร้างรายได้ในแต่ละเดือนอยู่ที่ 8-9 ล้านบาท และเมื่อรวมกับการจำหน่ายในประเทศแล้ว เดือนที่ผ่านมา มีรายได้อยู่ที่ 42 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายได้ที่น่าพอใจ และมีอัตราการเติบโตที่ดี เฉลี่ยเดือนละประมาณ 10% ทุกเดือน
เตรียมส่งมาม่าตีตลาดเวียดนาม
นอกจากนี้ในส่วนของผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า ทางบริษัทฯมองว่าเวียดนามเป็นอีกประเทศหนึ่งที่น่าสนใจในการที่จะเข้าไปลงทุนสร้างฐานการผลิต เพราะมีต้นทุนการผลิตต่ำมากเฉลี่ยประมาณ 85% ของราคาปลีกในการจำหน่าย จากเดิมที่ทำตลาดอยู่แล้วในรูปแบบของการส่งออก ขณะที่ปัจจุบันบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบรนด์ท้องถิ่นที่วางจำหน่ายในเวียดนามนั้น เฉลี่ยราคาประมาณ 2.50 บาทต่อซองเท่านั้น ซึ่งเป็นราคาจำหน่ายที่ผู้ประกอบการเองเริ่มแบกรับไม่ไหวบ้างแล้ว จึงเริ่มหาวิธีการทำตลาดเพื่อจำหน่ายสินค้าในราคาที่สูงขึ้น ให้ได้ใกล้เคียงที่ 5 บาท เท่าของไทยที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน
ดังนั้นการที่จะเข้าไปลงทุนในเวียดนามตอนนี้ จึงมีอุปสรรคอยู่ที่ราคาสินค้า ที่ของไทยยังสูงกว่า แต่หากจะเข้าไปทำตลาดอย่างจริงจัง บริษัทฯอาจจะต้องเข้าไปร่วมกับทางบริษัทฯท้องถิ่นในการทำตลาด หรือเป็นการลงทุนในลักษณะชาวต่างชาติเข้าไปลงทุนที่ต้องมีข้อกฏหมายบังคับหลายอย่าง ดังนั้นขณะนี้บริษัทฯจึงได้มีการเจรจาพูดคุยกับบริษัทท้องถิ่นอยู่หลายราย ทั้งในโซนเวียดนามเหนือและใต้ แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า ผลจะออกมาเป็นอย่างไร
สำหรับผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่านั้น ขณะนี้มีการส่งออกแล้วหลายประเทศ ทั้งในกลุ่มอียู รวมถึงประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง ซึ่งสัดส่วนรายได้การส่งออกมาม่านั้นอยู่ที่ 15% ของรายได้การจำหน่ายมาม่าทั้งหมด คาดว่าสิ้นปีนี้สัดส่วนจะเพิ่มเป็น 17%
ทั้งนี้ตลาดรวมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตถึง 10 % เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ที่มีมูลค่าถึง 9,000 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะสูงถึง 10,000 ล้านบาท และบริษัทฯเองคาดว่าจะเติบโต 15%
เดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯจะมุ่งเน้นขยายธุรกิจต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของการซื้อโรงงาน ที่ซื้อไปแล้วประมาณ 4 โรง เช่น โรงงานทำกระดาษห่อ และโรงงานกลุ่มเบเกอรี่ รวมไปถึงการลงทุนเพิ่มจำนวนเครื่องจักรในการผลิตเครื่องดื่ม พร้อมเพิ่มเครื่องจักรผลิตถ้วยสำหรับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วย และคาดว่าจะมีการลงทุนใหม่ๆต่อเนื่องอีกเรื่อยๆตลอดปี
ไตรมาสแรกโกยรายได้1.3 ล้านบาท
ถึงแม้ว่าในปีนี้เศรษฐกิจจะชะลอตัว การเมืองยังไม่ดีขึ้นก็ตาม แต่ผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ผ่านมานั้น บริษัทฯมีรายได้เพิ่มขึ้น 14.53% มูลค่า 174.96 ล้านบาท หรือมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,379.315 ล้านบาท กำไรสุทธิ 126.232 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมาประมาณ 100 ล้านบาท (คิดตามระบบบัญชีแบบเก่า) ซึ่งบริษัทฯได้มีการปรับปรุงงบบัญชีตามมาตรฐานบัญชีใหม่ ผลกำไรจริงที่ลดลงไปมีเพียง 24 ล้านบาทเท่านั้น จึงมั่นใจว่าทั้งปีจะมีรายได้เป็น 7,000 ล้านบาทแน่นอน โดยมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่าสร้างรายได้หลักที่ 90% และเครื่องดื่มรวมขนมขบเคี้ยวอีก 10% ที่เหลือ
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|