"ร่นเวลาประเทศไทยเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง ยอดความคิดแห่งปีของ รมว. พาณิชย์"


นิตยสารผู้จัดการ( พฤษภาคม 2536)



กลับสู่หน้าหลัก

คนไทยเปลี่ยนแปลง "วิธีบอกเวลา" ตามอย่างสิงคโปร์มาตั้งแต่ปี 2430 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 โดยวิธี "ยิงปืนเที่ยง" ตามแบบที่เคยเห็นอังกฤษยิงปืนสัญญาณที่สิงคโปร์ แต่ต่อมาในปลายรัชกาลที่ 7 วิวัฒนาการส่งสัญญาณบอกเวลาผ่านทางวิทยุกระจายเสียง หรือ สมัยก่อนเรียกว่า "หูทิพย์" ได้เกิดขึ้นในปี 2477 จึงยุติการยิงปืนเที่ยงตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ในยุดอธิบดีกรมโฆษณาการ วิลาศ โอสถานนท์ ปี 2484 ได้มีการปรับปรุงการเทียบเวลาให้น่าสนใจ โดยใส่ทำนองเพลงไทยเดิม "พม่าเชิญธง" ประกอบจังหวะเสียงนาฬิกาตีบอกเวลาติ๊กต๊อก ๆ ที่คุ้นหูทุกวันนี้ ซึ่งครูเพลง "สริยงยุทธ" แห่งวงสุนทราภรณ์ทำขึ้นมา

50 ปีแล้วที่การให้สัญญาณเทียบเวลาของกรมประชาสัมพันธ์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง !! เช่นเดียวกับการบอกเวลาทางโทรศัพท์ 181 ที่ใช้เสียงสตรีคนเดิม "น.ต. ศิริลักษณ์ คิ้วสุวรรณสุข" (เดิมเป็นจ่า) มาตลอดถึง 20 ปี

เวลาที่บอกโดย 181 นี้ กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือเป็นผู้รักษามาตรฐานของประเทศไทย ซึ่งจะบอกเวลาทุก ๆ สิบวินาทีตลอด 24 ชั่วโมง เวลาที่บอกนี้ได้รับสัญญาณจากนาฬิกาพลังปรมาณู "ซีเซียม" ซึ่งเที่ยงตรงมากที่สุดในโลก เพราะในเวลาหนึ่งหมื่นปีจะมีคลาดเคลื่อนแค่วินาทีเดียว

แต่จู่ ๆ ช่วงกุมภาพันธ์ 2536 ปีนี้ อุทัย พิมพ์ใจชน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ก็เกิดปิ๊งในไอเดียของตัวเอง ที่จะให้มีการปรับปรุงเวลาประเทศไทยให้เร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมงด้วยเหตุผลเชิงเศรษฐกิจ ที่จะทำให้นักธุรกิจ นักการค้าระหว่างประเทศและนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีความได้เปรียบในการบริหารเวลา เพราะเวลาที่ปรับเร็วขึ้นนี้จะใกล้เคียงประเทศฮ่องกง แต่จะเร็วกว่าสิงคโปร์ และจะช้ากว่าญี่ปุ่นเพียงหนึ่งชั่วโมงจากเดิมที่ช้าถึง 2 ชั่วโมง

รมว. อุทัยมอบหมายให้ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร ประธานคณะที่ปรึกษาฝ่ายการต่างประเทศของกระทรวงฯ ศึกษาความเป็นไปได้ และได้มีการเปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงผลดีของการปรับเวลานี้ ว่าเป็นประโยชน์ต่อการติดต่อทางธุรกิจกับกลุ่มประเทศอาเซียน และตะวันออกไกล นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดไฟฟ้า

คุณชายสุขุมพันธ์ยังให้ทัศนะต่อไปว่า ปัจจุบันสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไป หากยังเป็นสังคมเกษตรเหมือนเดิมก็ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงเวลา แต่หากเปลี่ยนแปลงเวลาแล้วไม่กระทบต่อเกษตรกรก็ควรทำ เพราะการทำเกษตรกรรมนั้นขึ้นอยู่กับแสงอาทิตย์ ไม่จำเป็นต้องปลุกควายขึ้นมากินหญ้าเร็วขึ้น!

"เวลาไม่ใช่เรื่องศักดิ์สิทธิ์เหมือนศาสนาที่แตะต้องไม่ได้ แต่เป็นสิ่งที่ทำขึ้นมาเพื่อความสะดวก แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องใหม่ หากเปลี่ยนเวลาจริงก็ต้องเลื่อนเวลาของนักเรียนให้เหมาะสมขึ้น" คุณชายสุขุมพันธ์แถลงข่าว

งานนี้ กรมอุทกศาสตร์ ผู้ดูแลรักษาเวลาบอกว่าเป็นเรื่อง SENSITIVE แม้จะเปลี่ยนเวลาสักวินาทีเดียว เพราะตามข้อตกลงที่ประเทศต่าง ๆ ทำไว้กับสถาบันเวลามาตรฐานสากล B.I.P.M. และ U.S.N.O. แห่งราชนาวีสหรัฐฯ ได้มีการแบ่งโซนเวลาทั่วโลก โดยไทยนั้นถือเอาเวลาที่เห็นดวงอาทิตย์เร็วกว่าเมืองกรีนิช ประเทศอังกฤษ 7 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา ประเทศสิงคโปร์ก็เคยประสบความสำเร็จในการขอเปลี่ยนแปลงเวลาทางเศรษฐกิจเพื่อให้ใกล้เคียงกับฮ่องกงมาแล้ว

"เราไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ หากอยากจะเปิดตลาดหุ้นให้ตรงกับฮ่องกง ก็เปิดตลาดหุ้นไทยให้เร็วขึ้นก็ได้" เจ้ากรมอุทกศาสตร์ พล.ร.ท. ถนอม เจริญลาภกล่าว

แต่ในแวดวงนักธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ฯ ธีรศักดิ์ สุวรรณยศ กรรมการผู้จัดการ บงล. นครหลวงเครดิต กลับเห็นว่าการปรับเวลาเร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมงนี้จะก่อให้เกิดผลบวกมากกว่า เพราะเมื่อเวลาทำการซื้อขายหุ้นในไทยเท่ากับเวลาเปิดตลาดหุ้นฮ่องกง ก็จะมีส่วนช่วยให้นักลงทุนต่างชาติหันมาสนใจซื้อขาย

"ปกติตลาดหุ้นไทยเปิดและปิดทำการซื้อขายหุ้นช้ากว่าตลาดฮ่องกง พอนักลงทุนต่างชาติซื้อขายหุ้นฮ่องกงจนปิดตลาดก็เลิกซื้อแล้ว โดยส่วนตัวผมจึงเห็นด้วยให้เลื่อนเวลาเร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมง แม้จะตื่นเร็วขึ้น แต่ก็เลิกงานเร็วทำให้มีเวลาอยู่กับครอบครัว" ธีรศักดิ์กล่าว

ขณะที่วิเชียร เจียกเจิม กรรมการผู้จัดการ บงล. เกียรตินาคินให้ทัศนะว่า ไม่น่าจำเป็นที่เราจะปรับเวลาให้เร็วขึ้น เพราะภาวะซื้อขายหุ้นแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นมากกว่าความสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้น

ยังเป็นข้อถกเถียงถึงความได้เปรียบเสียเปรียบที่จะเกิดขึ้นจากการบริหารเวลาใหม่ของไทยว่า ถ้าเวลาไทยเท่ากับสิงคโปร์ ธุรกิจบ้านเราก็ยิ่งเสียเปรียบเพราะสิงคโปร์เป็นแหล่งดึงดูดนักลงทุนที่มีความพร้อมและแรงจูงใจมากกว่า

คุ้มหรือไม่! เมื่อมองจากปริมาณการค้ากับสิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งไทยเทียบเวลาแข่งขันด้วย ทำไมจึงไม่เปลี่ยนไปตั้งเวลาให้เท่ากับญี่ปุ่นซึ่งมีปริมาณการค้าสูงกว่า?

คำถามเหล่านี้ยังไม่ครอบคลุมไปถึงผลกระทบเชิงสังคมวัฒนธรรม ความเชื่อทางโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ และอีกร้อยแปดพันประการที่น่าปวดเศียรเวียนเกล้า

แต่สำหรับอุทัย พิมพ์ใจชน รมว. พาณิชย์ ที่คิดการใหญ่จะบริหารเวลาประเทศไทยใหม่ ต้อนรับศักราชใหม่ของนโยบายอาฟต้า เขตการค้าเสรีอาเซียน ด้วยการทลายกำแพงเวลา นอกเหนือจากการลดกำแพงภาษีการค้าในภูมิภาคนี้ทั้งหมด อาจจะเป็นไอเดียสุดเท่ของรัฐบาลชุดนี้ก็ได้ !!!



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.