|
PFงัดที่ดิน2พันไร่รับรถไฟพัฒนาเบ็ดเสร็จกว่า5หมื่นล.
ผู้จัดการรายวัน(23 พฤษภาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
นายชายนิด โง้วศิริมณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) (PF) เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ว่า ปัจจัยลบในตลาดอสังหาฯ ยังคงกระทบต่อการชะลอตัวของตลาดโดยรวม โดยเฉพาะปัจจัยเรื่องน้ำมัน ที่มีสัญญาณการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าราคาน้ำมันจะปรับขึ้นสูงสุดประมาณ 30บาทต่อลิตร และคงที่อยู่ในระดับดังกล่าวไปอีกไม่ต่ำกว่า 1 ปี ทำให้พฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคโดยรวม ยังคำนึงถึงต้นทุนในการเดินทางเมื่อคิดจะซื้อที่อยู่อาศัย ดังนั้น แนวโน้มการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยในอนาคต คาดว่าจะอยู่ในพื้นที่แนวรถไฟฟ้า
นอกจากนี้ ปัจจัยด้านการเมืองที่ขณะนี้ อยู่ในช่วงร้อนแรงที่สุด เนื่องจากในปลายเดือน พ.ค.นี้ จะมีการตัดสินของศาลปกครองกรณีการยุบพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางด้านการเมือง ทำให้ทุกฝ่ายให้ความสำคัญและจับตามองอย่างมาก ทั้งนี้ หากมีการประกาศผลการตัดสินในเรื่องดังกล่าวแล้ว คาดว่าสถานการณ์ด้านการเมือง และเศรษฐกิจน่าจะกลับมาชัดเจน และมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากรัฐบาลยืนยันจะเร่งกำหนดวันเลือกตั้งขึ้นภายในปี 2550
อย่างไรก็ดี แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ แต่ปัจจัยบวกในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง5เดือนที่ผ่านมา มีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร (อาร์/พี)ไปแล้ว 1% และหากมีการปรับลดดอกเบี้ยอาร์/พีอีก 0.50% จะทำให้อัตราดอกเบี้ยกลับไปอยู่ในระดับเดียวกับช่วงที่ตลาดอสังหาฯ มีการขยายตัวสูงสุด หลังจากที่เกิดภาวะวิกฤติเศรษฐกิจปี2540 คือ ในปี2545-2546 ซึ่งการลดลงของอัตราดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าในตลาดได่ในระดับหนึ่ง อนึ่ง ในวันนี้ (23 พ.ค.) คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง) จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาร์/พี
ทั้งนี้ ในภาวะน้ำมันมีการปรับราคาสูงขึ้น ส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อทำให้ผู้บริโภคมีภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้น และส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ดังนั้น เพื่อรองรับสถานการณ์ในตลาดอสังหาฯที่ยังอยู่ในช่วงชะลอตัวดังกล่าว บริษัทจึงได้ปรับกลยุทธ์และการทำตลาดใหม่ โดยการปรับสินค้าและราคาขายให้เหมาะสมกับกำลังซื้อของลูกค้า ปรับลดราคาขายและขนาดของสินค้าลง ซึ่งและเน้นพัฒนาสินค้าที่มีราคาเฉลี่ย 3.2 ล้านบาทออกมารองรับกำลังซื้อที่ลดลง และเน้นการพัฒนาโครงการในทำเลแนวรถไฟฟ้า ทั้งในแนวราบและแนวสูง เพื่อรองรับพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่สะดวกและลดภาระการเดินทางของลูกค้า
นายชายนิดกล่าวว่า ปัจจุบัน บริษัทมีที่ดินสะสมในแนวรถไฟฟ้าอยู่ในมือ 2,000 กว่าไร่ ซึ่งกระจายอยู่ตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าใต้ดิน สามารถรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคตได้ในระยะยาว โดยหากมีการพัฒนาและขายแล้ว คาดว่าจะมีมูลค่าในการขายรวมประมาณ 50,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ตามนโยบายการพัฒนาระบบโครงข่ายรถไฟฟ้าของรัฐบาลนั้น รัฐบาลชุดนี้จะมีการอนุมัติการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าเพิ่มอีก 2 สายประกอบด้วยสายสีแดง บางซื่อ-ตลิ่งชั้น และสายสีม่วง บางซื่อ-บางใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะมีการประมูลการก่อสร้างภายในปีนี้ และการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในปี2554 ซึ่งจะทำให้ระบบรถไฟฟ้าเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น มีผลช่วยให้มีการขยายตัวของตลาดอสังหาฯในแนวรถไฟฟ้าในอนาคตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ในการพัฒนาโครงการนั้น บริษัทจะเน้นในเรื่องของสิ่งแวดล้อมภายในโครงการ คาดว่าจะได้รับความนิยมในระยะยาว เนื่องจากในภาวะโลกร้อนที่เพิ่มขึ้นและความร่มรื่นในเมืองเริ่มลดลง ทำให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัย ที่มีบรรยายกาศร่มรื่นและแวดล้อมด้วยต้นไม้ ที่ช่วยสร้างความร่มรื่นให้แก่ผู้อยู่อาศัย
ด้านนายวิชัย สิงห์วิชา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกล่าวว่า ล่าสุด บริษัทได้ทำการศึกษาและวิจัยด้านการออกแบบการก่อสร้างของต่างประเทศ ทั้ง KB Home บริษัทพัฒนาอสังหาฯในอเมริการ และ SEKISUI ประเทศญี่ปุ่น ในเรื่อง Customization โดยให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการเลือกรายละเอียดของบ้าน โดยได้นำมาพัฒนาบ้านใน 9 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการบ้านขนาดกลาง ภายใต้แนวคิด Prefect Customization ซึ่งลูกค้าจะสามารถเลือกรายละเอียดในการแต่งบ้านได้ถึง 100 สไตล์ โดยสามารถดทสอบเลือกแบบบ้านได้ตามความต้องการผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทั้งเรื่องการเลือกสีบ้าน แบบบ้าน การเลือกออกแบบพื้นที่ภายในตัวบ้าน วัสดุตกแต่ง และการจัดสวน ฯลฯ โดยราคาบ้านสั่งสร้างรุ่นใหม่เริ่มต้นที่ 3ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทยังได้การจัดแคมเปญใหม่ My Perfect และจัดทำภาพยนตร์โฆษณา 9 เรื่อง โดยใช้งบประมาณ 40 ล้านบาท เพื่อตอกย้ำจุดเด่นโครงการของบริษัทด้วย
นายชายนิด กล่าวว่า สำหรับการนำแนวคิด Prefect Customization เข้ามาทำตลาดในครั้งนี้ คาดว่าจะช่วยให้บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น 20% เนื่องจากจะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น ในขณะที่การเลือกแบบบ้านอาจะมีระยะเวลานานขึ้น
สำหรับในปี 2550 บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายและรับรู้รายได้รวมที่ 8,000 ล้านบาทตามเป้า แม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกบริษัทจะมียอดขายที่ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ก็ตาม เนื่องจากในช่วงไตรมาส2-4 ของปีนี้บริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ โดยมีบ้านสั่งสร้างเป็นหัวหอกสำคัญในการสร้างยอดขาย โดยรายได้ดังกล่าวจะมาจากสต็อกยอดขายในปี2549 ซึ่งจะโอนมารับรู้รายได้ในปี50นี้ ประมาณ 3,000 ล้านบาทจาก2โครงการคือ โครงการเมโทรพาร์ คอนโดมิเนียม และยอดขายจากโครงการวิลล่าทาวน์เฮาส์ ซึ่งจะทำให้ในปีนี้ บริษัทมีสัดส่วนรายได้มาจากโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ 70% ส่วนอีก30% จะมาจากโครงการคอนโดมิเนียม
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|