ศึกล้อแม็กอันดุเดือดเลือดพล่านกำลังอุบัติขึ้นในยุทธจักรการค้ามูลค่านับพันล้านบาทแห่งนี้
ที่ซึ่งมีเอนไกเป็นผู้นำตลาดอันแข็งแกร่ง แต่ในปี 1993 ขณะที่ยอดขายรถยนต์ได้รับการคาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า
20%ในปีนี้ ความร้อนระอุของสมรภูมิรบทางการค้าล้อแม็กได้พัฒนาไปอีกขั้นสู่การต่อสู้กันด้วยคุณภาพ
เมื่อยักษ์ใหญ่ค่ายปูนซิเมนต์ไทยได้ก้าวเข้าเป็นผู้ผลิตล้อแม็กรายใหม่ ด้วยเทคโนโลยีอันทรงประสิทธิภาพจากเยอรมันเข้าต่อสู้โรมรันกับคู่แข่งอย่างเอนไก
!!
ในยุคที่รถยนต์เปรียบเสมือนปัจจัยที่ 5 ของมนุษย์ที่มากด้วยกิเลสและหลากหลายความต้องการ
ล้อแม็กเป็นสินค้าประดับยนต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตามแฟชั่นบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่อย่างเช่น
เอนไก ยาชิโยดา หรือรายใหม่อย่างสยามอัลลอยวีล อุตสาหกรรมในเครือปูนซิเมนต์ไทยต้องกระโจนลงยุทธภูมิการตลาดพัฒนาสินค้าล้อแม็กขึ้นมา
เพื่อตอบสนองความต้องการที่ไม่สิ้นสุดของผู้บริโภค
สภาพการแข่งขันในตลาดล้อแม็กไทยที่มีมูลค่ามหาศาลไม่ต่ำกว่าสองพันล้านบาทได้บีบคั้นให้ผู้ผลิตล้อแม็กใหญ่น้อย
ต่างแสวงหาแนวความคิดที่ปรุงแต่งความสวยงามบนล้อแม็กตามแฟชั่น เน้นวิธีการลดต้นทุนการผลิตและดำเนินการผลิตด้วยคุณภาพระดับกลาง
ๆ แต่บางทีคุณภาพถึงขั้นเลวในผู้ผลิตรายที่นึกถึงแต่การลดต้นทุนที่มีผลผลิตที่ฟ้องคุณภาพเนื้อโลหะ
และความไม่เรียบร้อยในชิ้นงานที่ฉาบความสวยงามเพียงเปลือกมากกว่าคำนึงถึงชีวิตที่มีค่าและความปลอดภัยบนล้อแม็กที่ต้องรองรับการขับขี่ตลอด
ทุกวินาที
ล้อแม็กหรือที่มีชื่อเต็ม ๆ ว่า "ล้อแม็กนีเซียม" ถูกผลิต ขึ้นจากแนวความคิดพัฒนายานยนต์
ที่ต้องการลดภาระการรับน้ำหนักของระบบช่วงล่าง ให้รถยนต์ได้มีโอกาสใช้ล้อ
หรือกระทะล้อที่มีน้ำหนักเบากว่าล้อหรือกระทะล้อเหล็ก ทำให้ระบบช่วงล่างทนทานและมีแรงต้านการหมุนน้อยลง
จะส่งผลให้ขับเคลื่อนได้อย่างคล่องตัวและประหยัดน้ำมัน ล้อแม็กจึงกลายเป็นอุปกรณ์ประดับยนต์ที่เกิดจากประดิษฐกรรมทางอุตสาหกรรม
ที่ปลุกเร้าเจ้าของรถยนต์ส่วนมากให้พึงพอใจไม่สิ้นสุดที่จะแต่งโฉมรถคันโปรดให้แตกต่างตามรสนิยมและเงินตรา
บนชั้นสองที่เป็นโกดังเก็บของเอเย่นต์ร้านค้ายางย่านรังสิตกล่องกระดาษสีขาวสะอาดภายในบรรจุล้อแม็ก
"เอนไก" (ENKEI) วางตั้งสูงดูแยกออกจากล้อแม็กสารพัดยี่ห้อของแท้ของเทียม
ปะปนกันชนิดครึ่งต่อครึ่งที่ถูกทิ้งเปื้อนฝุ่นเกือบครึ่งพื้นที่ "เฮียเหลียง"
พาเดินชมและชี้ให้ดูว่าโรงงานเอนไก เพิ่งจะส่งล้อแม็กลายใหม่เข้ามาให้ยิ่งปลายปีนี้รถยนต์ขายดีเฮียยิ่งขายได้คล่อง
เพราะลูกค้าชอบหาซื้อลายใหม่ ๆ ที่พึงพอใจตามกำลังซื้อที่มีเงินอยู่ในกระเป๋า
ยอดขายล้อแม็กเอนไกเดือนละล้านบาทสำหรับเอเยนต์ร้านเฮียเหลียงย่อมเป็นเครื่องชี้ชัดถึงความนิยมในตลาดผู้ใช้ล้อแม็กอย่างดี
ขณะที่ล้อแม็กของ SP หรือทรัพย์ไพศาลตกอยู่แค่เดือนละสองแสนบาทส่วนลดของล้อแม็กที่เฮียเหลียงกินเปอร์เซนต์จากเอนไกตกประมาณ
3-5% ขณะที่ยี่ห้ออื่น ๆ อย่างเช่น SP ของทรัพย์ไพศาลอุตสาหกรรมหรือ VANTAGE
ของซิตี้คอร์พอัลลอยส์เสนอให้กับเฮียเหลียงสูงถึง 12% เพื่อจูงใจให้เฮียเอาไปปล่อยให้ร้านค้าปลีก
7% ส่วนต่าง 5% ที่เฮียเหลียงได้ย่อมเป็นกอบเป็นกำมากกว่า
ล้อแม็กเอนไกที่นิยมใส่กันหนาตาส่วนใหญ่เป็นตลาดลูกค้ารถกระบะยอดขายที่เฮียเหลียงเล่าให้ฟังมีถึง
70-80% ที่เปลี่ยนใส่ล้อแม็ก ที่เหลือเป็นของรถเก๋งซึ่งส่วนใหญ่จะมีล้อแม็กติดมาแล้วจากโรงงานแล้วไม่ชอบใจจึงอยากเปลี่ยนเป็นลายล้อแม็กใหม่
ๆ
ถึงแม้ว่าเอนไกอาจจะประสบความสำเร็จในตลาดชั้นกลางและชั้นล่างของไทย แต่สำหรับนักเล่นหรือผู้บริโภคระดับสูงเอนไกในสายตาของพวกเขาติดอันดับเชยและไม่มีรสนิยม
เอนไกจึงกลายเป็นผู้นำในตลาดรถเก๋งชั้นกลาง-ชั้นล่างและรถกระบะญี่ปุ่นโดยรุกเข้าไปในตลาดผ่านทางบริษัทการตลาดที่มีชื่อว่า
"เลนโซ่" ซึ่งมีตระกูลวีระพร (เดิมใช้นามสกุลวีระผดุงสกุล) เป็นเจ้าของและดำเนินการค้า
สมัยยังเป็น หจก. ลีแอนด์ซันส์ตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่จนกระทั่งรุ่นลูกซึ่งมีพิเชษฐ์
วีระพร ลูกชายคนโตซึ่งมีแนวความคิดพัฒนายกฐานะจากผู้นำเข้ายาง RIKKEN และล้อแม็กเอนไก
ให้กลายเป็นผู้ร่วมลงทุนกับเอนไกญี่ปุ่น ตั้งโรงงานผลิตล้อแม็กในไทยตั้งแต่ปี
2530 และเลนโซ่มีหน้าที่บริหารเครือข่ายการตลาดที่แบ่งได้สามส่วนดังนี้
ส่วนแรกคือ ส่วน OEM หรือโรงงานประกอบรถยนต์ที่ล้อแม็กเอนไกสามารถสร้างการยอมรับและเข้าโรงงานประกอบรถยนต์ของค่ายญี่ปุ่นได้ทุกยี่ห้อ
ได้แก่ โตโยต้า นิสสัน ฮอนด้า มิตซูบิชิ
ส่วนที่สองคือ AFTER MARKET เอนไกยังขายแก่ผู้ใช้รถทั่วไป โดยใช้ช่องทางกระจายสินค้าล้อแม็กผ่านเอเย่นต์ไม่ต่ำกว่า
400 แห่งไปยังลูกค้าทั่วประเทศ และส่วนสุดท้ายคือตลาดการส่งออกที่เอนไกส่งออกญี่ปุ่นเป็นหลัก
"ปัจจุบันเอนไกผลิตได้เดือนละ 70,000 วง ซึ่งต้องมีทั้งส่งออกและ
OEM ด้วย แต่เมื่อ 2 ปีที่แล้วบางคนคุยว่ากำลังผลิตของเขา 60,000 วงซึ่งผมคิดว่าสภาพตลาดขณะนั้นไม่มีทางเป็นจริงเลย"
ประสบ วีระพร ผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัทเลนโซ่ ซึ่งเป็น บริษัททางการตลาดของโรงงานเอนไกไทยเล่าให้ฟัง
ในวงการล้อแม็ก ตัวเลขที่แท้จริงของการผลิตและยอดขายดูจะเป็นสิ่งเลื่อนลอยไม่สามารถอ้างอิงได้
บ้างก็ว่าไม่ต่ำกว่าสองพันล้านบาท เนื่องจากผู้ผลิตบางรายปกปิดและหลีกเลี่ยงที่จะเข้าสู่ระบบที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ไม่มีการออกบิลแก่ร้านค้า เป็นเพียงวางใบรับของชั่วคราว
พิจารณายอดขายที่ผู้ผลิตแต่ละรายแจ้งกับกรมทะเบียนการค้า บริษัทเอนไกเป็นอันดับหนึ่งที่มียอดขายสูงสุด
401.83 ล้านบาท SP ของทรัพย์ไพศาลอุตสาหกรรมทำรายได้อันดับสอง 202.81 ล้านบาท
ส่วนของยาชิโยดา 106.33 ล้านบาท ซุปเปอร์สเตทที่รับจ้างผลิตล้อแม็ก 9.77
ล้านบาท ซิตี้คอร์พอัลลอยส์ 17.99 ล้านบาท เอ ออโตโมทีฟที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดีความฐานละเมิดการใช้เครื่องหมายการค้าภายใต้ชื่อล้อแม็ก
BRABUS มีรายได้เพียง 8.67 ล้านบาท และเทอร์โบอินดัสทรีซึ่งขายล้อแม็กรถกระบะเป็นหลักและระยะหลังเปิดตัวบ่อย
ๆ ในงานมอเตอร์โชว์มียอดขายทั้งปีเพียง 2.44 ล้านบาทนั้น
ไม่ต้องพูดถึงคุณภาพและมาตรฐานสินค้าล้อแม็กรายอื่น ๆ ที่สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม
(สมอ.) ยังไม่เข้ามากำหนด ทำให้ล้อแม็กที่บรรดาอาเฮียอาตี๋ทั้งหลายขายให้แก่ลูกค้า
ก็มีหลายหลากตั้งแต่มาตรฐานชั้นเลวถึงชั้นดีที่สุดแล้วแต่เงินในกระเป๋าลูกค้า
และพ่อค้าจะมีคุณธรรมแนะนำลูกค้าหรือยัดเยียดของคุณภาพต่ำให้แต่ฟันกำไรมาก
ๆ
"ล้อแม็กที่ขายในต่างจังหวัด เขาเอาราคาถูกเป็นหลักและพ่อค้าบางคนก็เอาเปรียบผู้บริโภค
ขณะที่ประชาสัมพันธ์ไม่ทั่วถึง เราก็ได้รับเสียงบ่นจากลูกค้าที่ซื้อไปว่าขับรถวิ่ง
ๆ ไปหรือสูบลมยาง ล้อแม็กแตก ถึงขนาดแขนขาหัก เราก็ตอบว่าถ้าเป็นของเรา เรารับผิดชอบ
เมื่อเขาส่งรูปมาให้ดู ก็ไม่ใช่ของเราเลยที่เกิดเหตุเพราะพ่อค้าต้องการกำไรมากก็เอาล้อปลอมของเอนไกใส่ให้"
ประสบเล่าให้ฟัง
ในตลาดล้อแม็กรถระดับชั้นล่างถึงระดับชั้นสูง การโรมรันฟันแทงทางธุรกิจนับตั้งแต่ตัดราคาปลอมแปลงลายล้อแม็ก
ละเมิดสิทธิการใช้เครื่องหมายการค้าหรือแม้กระทั่งนำเข้าอย่างผิดกฎหมายหรือยัดใส่สินค้านำเข้าอย่างอื่นแทน
การต่อสู้ของเอนไกและรายอื่น ๆ ที่ทำตามครรลองคลองธรรมต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากคู่แข่งนอกระบบเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องน่าลำบากใจ
ความเจ็บปวดขมขื่นย่อมเป็นประสบการณ์ที่ผู้ผลิตและผู้ค้าเคยผ่านพบมา เลนโซ่ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านจัดจำหน่าย
และร่วมลงทุนในโรงงานผลิตล้อแม็กเอนไกเองก็เช่นกันที่กว่าจะมีวันนี้ได้ก็มีตำนานแห่งทศวรรษที่ต้องจารจารึกไว้เช่นกัน
เมื่อ 17 ปีที่แล้วพี่น้องตระกูลวีระผดุงสกุล (ภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็นวีระพร)
นำโดยพี่ใหญ่ พิเชษฐ์ ซึ่งมีแนวความคิดที่จะขยายกิจการรุ่นพ่อแม่ที่ชื่อ
"ห้างหุ้นส่วนจำกัด ลีแอนด์ซันส์" ซึ่งตั้งในปี 2514 เพื่อค้ายางและอะไหล่รถยนต์บนถนนพระราม
4 ให้กลายเป็นผู้นำเข้าสินค้าต่างประเทศหลากหลายยี่ห้อไม่ใช่เฉพาะเอนไกในนามของบริษัทเลนโซ่
ซึ่งตั้งขึ้นในปี 2520 โดยมีน้อง ๆ ร่วมทำงานด้วยคือ เจษฎา มานะ มุกดา ประสบและนพพร
แต่การค้าในระยะแรก เลนโซ่ยังต้องพึ่งจมูกคนอื่นหายใจเนื่องจากต้องสั่งของผ่านผู้นำเข้าในไทยมาขายต่อหน้าร้าน
"ในช่วง 5 ปีแรกอัตราการขายของเราไม่มากนักสำหรับการนำเข้าล้อแม็กเพราะยอดยายรถยนต์ยังต่ำมาก
และสมัยนั้นราคาล้อแม็กซ์ชุดหนึ่งเมื่อเทียบกับราคารถยนต์คันหนึ่งก็ค่อนข้างแพงมากประมาณ
7-10% ของราคารถ" ประสบ วีระพร ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเลนโซ่เล่าให้ฟัง
แต่กว่าจะหาช่องทางนำเข้าได้เอง พี่น้องตระกูลวีระพรก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานับประการ
เร่งสร้างผลงานให้เข้าตากรรมการ และรอจังหวะเวลาอีกนับ 10 ปีต่อมาที่ทางสำนักงานใหญ่เอนไกเริ่มมีนโยบายส่งออก
ในที่สุดโอกาสที่รอคอยก็มาถึง…เลนโซ่ได้รับคัดเลือกเป็นผู้นำเข้ารายเดียวในไทยที่มียอดขายสูงสุดชนะคู่แข่งอื่นอีก
3 ราย
ก้าวต่อมาของเลนโซ่คือการเป็นผู้ร่วมลงทุนกับเอนไก โดยชักชวนให้เอนไกญี่ปุ่นเข้ามาตั้งโรงงานในไทย
ฝ่ายพิเชษฐ์ได้ให้เหตุผลจูงใจสองประการคือ การลดต้นทุนให้ต่ำลง แทนที่จะนำเข้าล้อแม็กเอนไกจากญี่ปุ่นซึ่งต้องเสียภาษีนำเข้าสูงมาก
และปริมาณการเติบโตของยอดขายรถยนต์ไทยในอนาคตที่จะทำให้การตั้งโรงงานถึงจุดคุ้มทุน
"พอเราเริ่มเป็นผู้แทนจำหน่ายของเขาระยะหนึ่งไม่กี่ปี เราก็เริ่มเจรจาให้เขาเข้ามาตั้งโรงงานในไทย
แต่ว่าในช่วงแรก ๆ เขาไม่มาเพราะไม่คุ้มกับการลงทุนเนื่องจากปริมาณขายล้อแม็กในไทยยังน้อยมาก
โดยดูจากยอดขายรถยนต์ แต่การเจรจาก็ทำมาเรื่อยเป็นเวลา 7-8 ปี จนกระทั่งปี
2530 การเติบโตของยอดขายรถยนต์สูงเอามาก ๆ โรงงานเอนไกไทยจึงเปิดในปี 2530-31"
ประสบเล่าให้ฟัง
บริษัทเอนไกไทยเริ่มก่อตั้งในปี 2531 โดยมียักษ์ใหญ่ด้านล้อแม็กอย่าง บริษัทเอน-บิชิ
อลูมินั่ม วีลส์ ซึ่งเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าและเทคโนโลยีการผลิตล้อแม็ก
"เอนไก" เป็นผู้ถือหุ้นสำคัญ ได้จัดส่งกรรมการผู้จัดการชาวญี่ปุ่นคือ
ทาดาชิ โอโมริ เข้ามาวางรากฐานการบริหารโรงงานเอนไกไทยจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
โดยมีสองพี่น้องคือ พิเชษฐ์ วีระพรดำรงตำแหน่งเป็นประธานบริษัท และประสบ
วีระพรเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดของเลนโซ่
ปรากฏว่าตั้งปี 2530 ยอดขายรถยนต์นั่งมีเพียง 27,084 คัน รถกะบะ 59,398
คัน แต่ในระยะเวลาอีก 5 ปีต่อมายอดขายได้พุ่งทะยานไปสู่ดวงดาว เมื่อสถิติล่าสุดยอดขายรถยนต์นั่งในปี
2535 ทำลายสถิติในประวัติศาสตร์ที่ยอดขายรถยนต์นั่งทะลุหลักแสน 121,488 คัน
ขณะที่รถกระบะขายได้ 182,958 คัน
ดังนั้นจังหวะเวลาที่โรงงานเอนไกเริ่มเดินเครื่องผลิตล้อแม็กในไทยจึงเป็นโอกาสทอง
เพราะชีพจรตลาดรถยนต์และพฤติกรรมผู้บริโภคไทยตื่นตัวเต็มที่ในสินค้าประดับยนต์
โดยเฉพาะล้อแม็ก
นี่คือก้าวกระโดดที่สำคัญของเลนโซ่โดยมีเอนไกไทยเป็นสปริงบอร์ด
"ภายในห้าปี เราสามารถขยายได้เป็น 3 โรงงานแรก ๆ เราไม่คิดว่าจะใหญ่ขนาดนี้ทั้ง
ๆ ที่เราซื้อที่ดินเผื่อไว้เท่าตัวก็ยังไม่พอ คือเนื้อที่โรงงานเก่า 9 ไร่ถึงเวลานี้คับแคบแล้วในปีเดียวตอนนี้เราเริ่มซื้อที่ดินแปลงใหญ่
ไว้สำหรับโครงการอนาคตห่างกันแค่สองร้อยเมตรที่บริเวณเดียวกันในเมืองใหม่บางพลี"
ประสบกล่าว
ด้วยทุนที่สั่งสมมาจากธุรกิจค้าล้อแม็กเอนไกในช่วงต่อมาตระกูลวีระพรได้แตกกิจการออกไปอีกมากมายได้แก่บริษัทเลนโซ่เคมีที่พระประแดง
บริษัทแมทริกซ์(ประเทศไทย) กิจการค้าสินค้าโทรคมนาคมเช่นเพจเจอร์ยี่อห้อ
"EASYCALL" สินค้าโอเอยี่ห้อ ซัมซุง ฮิตาชิ และธุรกิจด้านพัฒนาที่ดินทำเป็นอาคารสำนักงานสูงที่ซอยสายลมขณะที่กิจการดั้งเดิมในนามของ
หจก. ลีแอนด์ซันส์ก็ยังคงดำเนินการอยู่จนถึงปัจจุบัน
เอนไกไทยได้พาเลนโซ่ติดลมบนเกาะเกี่ยวสัมพันธ์กันเพื่อเปิดตัวสู่ตลาดต่างประเทศในโครงการลงทุน
300 ล้านบาทตั้งโรงงานผลิตล้อแม็กและเสื้อสูบที่ตอนเหนือกรุงกัวลาลัมเปอร์
ประเทศมาเลเซียโดยมีกำลังการผลิต 20,000 วงต่อเดือนประสบได้เล่าให้ฟังว่า
"ช่วงปีจากนี้ไปอีก 5 ปีข้างหน้าเป็นการแตกตัวไปสู่ต่างประเทศของเลนโซ่ซึ่งเกาะกลุ่มไปกับเอนไก
อันนี้เป็นนโยบายของบริษัทแม่ที่เขาต้องการให้เราไปร่วมลงทุนในโรงงานที่มาเลเซียซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่
เราถือหุ้นในนามเลนโซ่ส่วนโรงงานผลิตเสื้ออสูบมอเตอร์ไซด์ที่เซียงไฮ้จะเปิดดำเนินการปี
2537 ที่จีนแดงโรงงานล้อแม็กมีอยู่เยอะแยะเป็นโรงงานของพวกไต้หวัน แต่ต่อไปเราคงจะขยายไปผลิตล้อแม็ก"
ประสบเล่าถึงแผนการลงทุนที่ต้องใช้เงินทุนมหาศาลนับพันล้านที่ทอฝันนี้ให้เป็นจริง
ในขณะที่เอนไกไทยกับหุ้นส่วนอย่างเลนโซ่กำลังเริ่มต้นอย่างสวยงามการรุกก้าวเข้ามาของบริษัทสยามอัลลอยวีลอุตสาหกรรมหรือเรียกย่อ
ๆ ว่า "SAW" ของค่ายยักษ์ใหญ่ปูนซิเมนต์ไทยได้สร้างแรงสั่นสะเทือนที่คนในวงการนี้ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
หลังจากศึกษาโครงการนี้มานานแรมปี ก็เพิ่งตัดสินใจทำในช่วงเศรษฐกิจดีโดยดำเนินการก่อตั้งบริษัท
SAW ในปี 2535 ด้วยทุนจดทะเบียน 180 ล้านบาท ซึ่งมีบริษัทยางสยามถือหุ้น
99.99%
สยามอัลลอยวีลฯ มีกำลังผลิตล้อแม็กยี่ห้อ LAMMERZ ปีแรก 20,000 วง ภายใต้การบริหารของอาทิตย์
ประทุมสุวรรณที่ย้ายจากบริษัทไทย ซีอาร์ที เข้ามารับเป็นแม่ทัพสำคัญ ที่จะบุกเบิกตลาดล้อแม็กนี้
ทั้งนี้เพราะความเป็นยักษ์ใหญ่ของปูนซิเมนต์ไทยที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรบุคคล
เงินทุน เทคโนโลยีและอำนาจการบริหารการจัดการเครือข่ายด้านการตลาด ได้ส่งเสริมการเกิดของสยามอัลลอยวีลฯ
อย่างมีแบบแผนและยุทธวิธีอันทรงพลัง
แนวความคิดของการเกิดบริษัทสยามอัลลอยวีลฯ เกิดขึ้นจากการมองเห็นอัตราเติบโตอย่างมหาศาลของตลาดรถยนต์
และอุปกรณ์ประดับยนต์ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา กระตุ้นให้ ชลาลักษณ์ บุนนาค กรรมการผู้จัดการบริษัทยางสยามเล็งเห็นถึงศักยภาพของการลงทุนครบวงจรที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายตลาดยางรถยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถ้าจะสังเกตให้ดีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทิศทางการเติบโตในสายอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เกิดขึ้นในเครือปูนซิเมนต์ไทยมากขึ้น
ๆ จนกระทั่งปัจจุบันมีบริษัทสยามมิชลินและยางสยามผู้ผลิตและจำหน่ายยางมิชลินและยางสยาม
บริษัทนวโลหะไทยกับบริษัทผลิตภัณฑ์วิศวไทย ผลิตชิ้นส่วนโลหะยานยนต์ บริษัทนวโลหะอุตสาหกรรมผลิตเสื้อสูบและฝาสูบ
บริษัท เอส. บี. แบตเตอรี่ และสยาม ฟูรูกาว่าทำแบตเตอรี่ บริษัทสยามคอมเพรสเซอร์อุตสาหกรรมผลิตคอมเพรสเซอร์สำหรับแอร์รถยนต์สยามคูโบต้าดีเซลผลิตเครื่องยนต์ดีเซลสำหรับเครื่องจักรการเกษตร
สยามโตโยต้าอุตสาหกรรมผลิตเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน
เมื่อบริษัทสยามอัลลอยวีลฯ เกิดขึ้นมีการระดมศักยภาพของบุคลากรจากบริษัทผลิตภัณฑ์วิศวไทยที่เชี่ยวชาญในงานหล่อโลหะไปเรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตของ
LAMMERZ (แลมเมิร์ต) ที่ประเทศเยอรมนี เพื่อนำเอาเทคโนโลยีนี้มาใช้ในโรงงานผลิตล้อแม็กซึ่งตั้งอยู่ที่สระบุรีแต่สำนักงานใหญ่จะอยู่ที่เดียวกับบริษัทยางสยามที่วิภาวดีรังสิต
ขณะเดียวกันทีมการตลาดของยางสยามก็ประสานงานกับทีมงานใหม่ของสยามอัลลอยวีลฯ
หาข้อมูลของคู่แข่งที่มีอยู่ในตลาด
การเลือกเอาบริษัทต้นแบบเทคโนโลยีของเยอรมนีผู้ผลิตล้อแม็ก LAMMERZ เพื่อป้อนให้กับรถมหาเศรษฐีอย่างเมอร์เซเดสเบนซ์ได้กลายเป็นจุดสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์เพื่อต่อสู้ด้านคุณภาพกับคู่แข่งขัน
ทั้งนี้เพราะกรรมวิธีการผลิตระบบกำลังอัดต่ำ (LOW PRESSURE) ของเยอรมนีเป็นที่ยอมรับว่าสร้างชิ้นของงานที่มีคุณภาพที่ดีกว่าระบบตักเท
(GRAVITY)
ระบบกำลังอัดต่ำที่บริษัทสยามอัลลอยวีลฯ จะนำเอามาใช้นั้น โดยหลักการผลิตใช้แม่แบบที่สามารถซีลอากาศ
เป็นระบบปิดจนภายในแม่แบบเป็นสูญญากาศโลหะที่หลอมละลายแล้วจะถูกดูดเข้าแม่พิมพ์ด้วยแรงดูดสูญญากาศจนเต็ม
เป็นกรรมวิธีการผลิตที่ต้องลงทุนเครื่องมือราคาแพงและสลับซับซ้อน แต่ให้คุณภาพงานสูง
ที่โรงงานล้อแม็กเอนไกไทย ใช้กรรมวิธีการผลิตรพบบตักเทผลิตล้อแม็กชิ้นเดียววิธีนี้มีความสะดวกง่ายที่สุดและต้นทุนไม่สูงเพราะเครื่องมือไม่สลับซับซ้อนผลิตโดยหลอมก้อนอะลูมิเนียม
(INGOT) รวมกับล้อเสียและเศษล้อเสียและเศษล้อ (RETURNED MATERIAL) ด้วยความร้อนสูงประมาณ
700 องศาเซลเซียส เทใส่แม่พิมพ์แบบตักเทที่จะดึงดูดให้โมเลกุลของสารละลายเกาะติดกัน
เมื่อแข็งตัวจึงนำออกมาจากแม่พิมพ์แล้วกลึงให้เรียบร้อยด้วยเครื่องอัตโนมัติซึ่งมีอยู่
10 เครื่อง จากนั้นจะมีการ "ชุบแข็ง" เพิ่มความแข็งแรง แล้วจึงผ่านขั้นตอนเสริมความงามแบ่งเป็นสองแบบคือแบบพ่นและแบบปัดเงาล้อแม็กแบบพ่นสีด้วยสี
SIVER คุณภาพสูงและอบด้วยความร้อน 500 องศาเซลเซียสให้ความสวยงามและทนทาน
ส่วนล้อแม็กแบบปัดเงาที่นิยมกัน จะเกิดการปัดเงาเนื้อโลหะให้เกิดความมันวาว
แล้วจึงเคลือบแลคเกอร์หรือบางแบบไม่เคลือบ ซึ่งจะบำรุงรักษายากกว่าเพราะมักเกิด
"ขี้เกลือ" หรือสนิมอะลูมิเนียมได้จากปัสสาวะสุนัข
"ระหว่างทำงานเราต้องเช็คคุณภาพทุกขั้นตอนนับตั้งแต่ส่วนผสมอะลูมิเนียมว่าเป็นไปตามสเปคหรือไม่
โดยใช้เครื่องสเปคโตมิเตอร์ยิงรังสีเข้าไป เมื่อแกะจากแท่นหล่อมีตามดหรือรูกลวงหรือไม่ผ่านการอบก็ต้องตรวจสอบความแข็งแกร่งและยืดหยุ่น
เพราะอุณหภูมิเปลี่ยนคุณสมบัติโลหะก็เปลี่ยนไปด้วย ถ้าล้อเสียเราจะไม่ปล่อยจากเอนไก
เราขายสินค้าเกรดเอเกรดเดียว ผิดกับโรงงานเล็กที่เขาขายราคาถูกได้เพราะเขาปล่อยทุกล้อที่ผลิตได้ออกขายหมด"
ประเสริฐ อินประเสริฐ วิศวกรประจำโรงงานเล่าให้ฟังขณะพาเดินชมโรงงาน
ยุทธวิธีการช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดของน้องใหม่สยามอัลลอยวีลฯ ที่จะรุกเข้าไปในตลาดล้อแม็กที่มีเอนไกเป็นผู้นำนั้น
เป็นที่คาดว่าส่วนของตลาด OEM หรือโรงงานประกอบรถยนต์ต่าง ๆ เป็นเป้าหมายแรกที่สยามอัลลอยวีลฯ
หวังจะสร้างชื่อเสียงและการยอมรับชิ้นงาน เพราะว่าการเจาะเข้าไปได้ใน OEM
ย่อมหมายถึงว่ามาตรฐานคุณภาพ ต้องสูงเป็นที่ยอมรับของโรงงานและปริมาณความต้องการของตลาดส่วนนี้มีความแน่นอนสัมพันธ์กับการเติบโตของยอดขายรถยนต์แท้จริง
แต่เจ้าตลาดอย่างเอนไกหรือจะยินยอมให้สยามอัลลอยวีลฯ รุกเข้ามายึดครองได้เพราะว่าปัจจุบัน
40% ของกำลังผลิต 60,000 วงจะป้อนตลาด OEM โดยเฉพาะรถญี่ปุ่นที่มีสายสัมพันธ์ธุรกิจทางการค้าแบบวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่มีความเป็นชาตินิยม
บริษัทเอนไกญี่ปุ่นหรือเอนบิชิอะลูมินั่ม วีลส์นั่นถือหุ้นส่วนหนึ่งโดยบริษัทมิตซูบิชิคอร์ปอเรชั่น
จึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่เอนไกไทยจะได้ลูกค้าเป็นบริษัทเอ็มเอ็มซีสิทธิผลกับอีซูซุของบริษัทตรีเพชรอีซูซุฯ
ขณะที่ฮอนด้าและมาสด้ามีพันธะสัญญาที่สนับสนุนการใช้ล้อแม็กเอนไกรายเดียว
นอกจากนี้ยังมีบริษัทพระนครยนตรการที่ประกอบรถไดฮัทสุและโอเปิลก็เลือกให้เอนไกเป็นผู้ป้อนล้อแม็ก
"ความเป็น WORLD WORLDWIDE ของเอนไกก็มีส่วนทำให้บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นเองใช้เอนไกมาก
ตอนนี้รถญี่ปุ่นเราไม่ได้ซัพพลายล้อแม็กมีเพียงนิสสันรุ่นเซฟิโรรุ่นเดียว
เพราะช่วงนั้นที่กำลังผลิตของเราไม่เพียงพอเลยไม่ได้รับงานนี้มาทำ เพราะในการรับงานแต่ละชิ้น
เรื่องเวลาเป็นเรื่องสำคัญห้ามส่งขาดจำนวนหรือผิดเวลา" ประสบเล่าให้ฟัง
สำหรับรถยนต์ในค่ายยุโรปอย่างรถยนต์บีเอ็มดับบลิว เปอโยต์ ค่ายยนตรกิจได้ผลิตและออกแบบล้อแม็กเองโดยผลิตที่โรงงาน
เอ. ที. พี. อินดัสทรี ขณะที่รถยนต์วอลโว่จะนำเข้าล้อแม็กจากต่างประเทศเพราะ
PCD ของรถยนต์วอลโว่ จะแตกต่างกับรถยนต์ค่ายอื่น ๆ
เหนือสิ่งอื่นใด ลูกค้ารายใหญ่ที่ทั้งเอนไกและสยามอัลลอยวีลฯ ต่างมุ่งหวังเป็นหลักคือบริษัท
โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) ที่ทำยอดขายรถยนต์ทุกประเภทสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง
95,910 คันในปีที่แล้วมีส่วนแบ่งตลาด 26.4% ได้กลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเอนไกไทยที่ผลิตล้อแม็กป้อนรถยนต์นั่งบางรุ่นเช่น
รุ่นโคโรล่า 1600 รุ่นโคโรนา 2000 รุ่น คราวน์เป็นต้น
ดังนั้นในระยะเริ่มต้น สยามอัลลอยวีลฯ ซึ่งจะมีกำลังการผลิตประมาณ 20,000
วงต่อปี เป้าหมายแรกที่ต้องเจาะตลาด OEM ให้ได้ จึงน่าจะเป็นการเข้าเป็น
OEM ของโรงงานประกอบรถยนต์โตโยต้าโดยใช้สายสัมพันธ์ในฐานะผู้ถือหุ้นหนึ่งในโตโยต้าและใช้กลวิธีการขายล้อแม็กแลมเมิร์ต"
คู่กับยางมิชลินเพื่อให้เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งของโตโยต้า ทั้งยังเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ต้องขึ้นอยู่กับเอนไกแต่เพียงผู้เดียว
"เขาขายแลมเมิร์ตคู่กับยางมิชลิน เราก็ป้องล้อแม็กให้บริจสโตนและกู๊ดเยียร์
ซึ่งเป็นคู่แข่งกับมิชลินได้ แต่จริง ๆ แล้วการขายล้อแม็กเป็นการขายอิมเมจและปัจจุบันนี้บริษัทรถยนต์ก็จะดีไซน์แบบที่เขาต้องการมาให้เลย
โดยบริษัทรถยนต์จะรับผิดชอบค่าแม่พิมพ์เอง" ประสบเล่าให้ฟัง
ดังนั้นนโยบายสำคัญที่ทีมบริหารบริษัทสยามอัลลอยวีลฯ เน้นตลอดเวลาก็คือ
"คุณภาพต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง" เพื่อสร้างความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนกับคู่แข่งไม่ว่าจะต้องลงทุนมหาศาลเพียงใดกับภาพพจน์สินค้าตัวใหม่ปรัชญาการทำธุรกิจของสยามอัลลอยวีลฯ
จึงสอดคล้องกับนโยบายหลักของปูนชิเมนต์ไทย
ขณะที่การเจรจาเพื่อเจาะตลาด OEM ของสยามอัลลอยวีลฯ มีทีท่าว่าจะได้รับผลสำเร็จตามที่คาดไว้ช่องทางการจัดจำหน่ายที่สำคัญที่จะปล่อยล้อแม็กลงสู่ตลาด
AFTER MARKET ซึ่งมีเอนไกเป็นเจ้าตลาดอันแข็งแกร่งก็เป็นเรื่องที่ท้าทายทีมบริหาร
SAW ในช่องทางการจัดจำหน่ายนี้
ทั้งนี้เพราะตลาด AFTER MARKET ที่มีรถกระบะเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพนี้เอนไกได้เจาะเข้าทุกเอเยนต์ร้านค้ายางและล้อจำนวนไม่ต่ำกว่า
400 แห่ง ทิ้งคู่แข่งในอดีตอย่าง ยาชิโยดาของ "เฮียเกียง" หรือบัณฑิต
ชาญคณิตแบบไม่เห็นฝุ่น เนื่องจากระยะหลังคนในวงการกล่าวกันว่าเฮียเกียงแห่งจันทรเกษมอินเตอร์เนชั่นแนลซึ่งเป็นกลไกทางการตลาดของยาชิโยดาได้หันไป
สนใจด้านการค้าอาวุธมาก ทำให้อันดับสองในตลาดล้อแม็กรถกระบะขณะนี้ตกอยู่กับทรัพย์ไพศาลอุตสาหกรรมที่ใช้ยี่ห้อ
"SP" ตามติดด้วยยี่ห้อ "เทอร์โบ" ที่ช่วงหลังทำโปรโมชั่นทางการตลาดมากด้วยการออกบูธโชว์ผลิตภัณฑ์ล้อแม็กและฝาครอบล้อในงานมอเตอร์โชว์ต่าง
ๆ และมีการลงโฆษณาในนิตยสารรถยนต์ด้วยยอดขายของเทอร์โบล่าสุดประมาณ 20% ของรถกระบะป้ายแดงที่อ้างอิงจากกรมทะเบียนการค้า
"รสนิยมของผู้เล่นล้อแม็กกระบะจะมีอยู่เพียง 1-2 ระดับ ขณะที่รสนิยมของรถเก๋งจะมีถึง
4-5 ระดับ ทำให้การทำตลาดล้อแม็กรถเก๋งเป็นเรื่องยากกว่าเพราะมีความหลากหลายทั้งรูน็อตหรือ
PCD ขอบล้อ และออฟเซทแต่รถกระบะจะยุ่งเรื่องรูน็อตอย่างเดียว" เริง
เลิศวนิชกิจกุล ผู้บริหารแห่งเทอร์โบอินดัสทรีเล่าให้ฟัง
ขณะเดียวกันยี่ห้อ VANTAGE และ ENSURE ของซิตี้คอร์พอัลลอยส์ ซึ่งเป็นเจ้าแรกที่ผลิตล้อแม็กในยุทธจักรนี้
ต่อมาเมื่อได้มีการร่วมทุนกับไต้หวันซึ่งได้ย้ายฐานการผลิตล้อแม็กมาอยู่ที่ไทยเนื่องจากต้นทุนและค่าแรงต่ำกว่า
ทำให้โนว์ฮาวที่ผลิตสินค้าล้อแม็กของซิตี้คอร์พอัลลอยส์มีคุณภาพมากกว่ารุ่นแรก
ๆ
การต่อสู้กันเรื่องราคาของล้อแม็กในตลาดระดับล่างนี้ยังเป็นปัจจัยสำคัญของการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้านักเลงกระบะและรถยนต์นั่งทั้งหลาย
ควบคู่กับดีไซน์ที่ออกแบบสวยงามตามแฟชั่นโดยมากราคาของล้อแม็กชุดหนึ่งซึ่งมี
4 ล้อจะมีราคาระหว่าง 5,000-12,000 บาท ยกตัวอย่างเช่นล้อแม็กของเอนไกรุ่น
RC 1465 ขอบ 14 นิ้วจะมีราคาวงล้อละ 2,000 บาท ถ้าเป็นรุ่น BSI ขอบ 15 นิ้ว
มีราคาประมาณ 3,000 บาท
สำหรับตลาดระดับบน ราคาล้อแม็กที่แพงมาก ๆ มักจะเป็นล้อแม็กที่นำเข้าจากต่างประเทศ
ซึ่งสนนราคาแพงระยับตั้งแต่ชุดละ 50,000-200,000 บาท ผลงานล้อแม็กนี้ได้ถูกดีไซน์โดยบริษัทจูนนิ่งระดับโลกที่มีสไตล์ความสวยงามที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ที่ใคร
ๆ อยากเลียนแบบ ล้อแม็กสำหรับรถเมอร์ซิเดสเบนซ์ได้แก่ BRABUS LORENZER AMG
ราคาของล้อแม็กขอบ 8/17 นิ้วราคาเฉลี่ยวงละ 12,000 บาทหรือชุดละ 48,000 บาทหรือ
81/1 17 ราคาวงละ 20,000 บาทหรือชุดละ 80,000 บาทใช้กับรถเบนซ์รุ่น 500 SEL
และ 500 SEC เช่นเดียวกันกับรถยนต์ BMW มักจะแต่งได้สวยงามที่ยอมรับความเป็นสากลด้วยล้อแม็กของ
SCHNITZER ALPINA BBS RACING DYNAMIC
เมื่อพิจารณาสภาพตลาดโดยทั่วไปของล้อแม็กที่จำหน่ายไทยดังกล่าวทำให้สยามอัลลอยวีลฯ
ได้วางจุดยืนอยู่ที่ MASS MARKET ซึ่งให้ผลที่คุ้มค่ากับการลงทุนมากกว่า
เนื่องจากปริมาณการผลิตจำนวนมาก และมีตลาดรถยนต์ที่สดใสจากการคาดการณ์ของโตโยต้าที่กล่าวจะโตปีละไม่ต่ำกว่า
20%
แผนรุกเข้าเจาะตลาดที่สยามอัลลอยวีลฯ วางไว้ หลังจากทดสอบผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากโรงงานจนน่าพอใจแล้ว
จะมีการวางสินค้าใน AFTER MARKET ประมาณไตรมาสที่สองของปีนี้ราวเดือนมีนาคมอย่างเร็วที่สุด
เพื่อกระจายสินค้าตามช่องทางจัดจำหน่ายเอเยนต์ ร้านค้ายางและล้อของมิชลินและสยามไทร์ไม่ต่ำกว่า
500 แห้ง
ศึกล้อแม็กที่ยักษ์ใหญ่อย่างเอนไกกำลังถูกท้าทายโดยผู้มาใหม่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งสถานการณ์สู้รบทุกรูปแบบในตลาดที่มีเอนไกเป็นเจ้าตลาดอันแข็งแกร่ง
เมื่อสยามอัลลอยวีลฯ ต้องการเกิดในยุทธจักรการค้านี้อย่างมีศักดิ์ศรี !!