|

คลังเงื้อง่าแผนอุ้มอสังหาฯหวั่นภาษีตกเป้า-โฆสิตเร่งเบิกงบมิ.ย.
ผู้จัดการรายวัน(17 พฤษภาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
คลังไร้วี่แว่วมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ เหตุฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลังไม่ตัดสินใจเด็ดขาด ขณะที่บิ๊กสศค.ลั่นแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจเตรียมพร้อมแล้ว เผยชงลดทั้งค่าธรรมเนียมและภาษีอสังหาฯ ขณะที่ รมช.คลังอิดออด ห่วงจัดเก็บรายได้ไม่เข้าเป้า อ้างอุ้มอสังหาฯ ได้ผลแค่ระยะสั้น สนช. 4 คณะถก "โฆสิต" เร่งอัดฉีดงบประมาณภายในเดือน มิ.ย.
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในการประชุมที่ปรึกษารมว.คลังวานนี้(16 พ.ค.) ยังไม่สามารถสรุปมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใดๆ ออกมาได้ แต่ยืนยันว่า มาตรการลดภาษีธุรกิจเฉพาะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะไม่มีการลดหย่อนให้แน่นอน ส่วนมาตรการอื่นๆ ก็ยังไม่สามารถเปิดเผยให้ทราบได้ในขณะนี้
“มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านต่างๆ จะยังไม่นำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้ทันในวันอังคารหน้านี้ แต่อย่างไรก็ตาม จะรีบดำเนินการให้ได้โดยเร็วที่สุด” นายฉลองภพกล่าว
ขณะที่นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) ที่ปรึกษารมว.คลัง กล่าวเช่นเดียวกันว่า มาตรการที่จะออกมายังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากนายวรพล โสคติยานุรักษ์ ที่ปรึกษารมว.คลัง ที่รับผิดชอบเรื่องดังกล่าวไม่ได้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ต้องรอให้มีการประชุมในต้นสัปดาห์หน้า จึงจะสามารถได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในเรื่องนี้ออกมา คาดว่าอีก 2 สัปดาน่าจะมีความชัดเจนและเข้าสู่ที่ประชุมครม.ได้
ทั้งนี้ มีการหารือกันว่า หากมีการลดภาษีการโอนและจดจำนอง ประชาชนจะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรง แต่หากลดภาษีธุรกิจเฉพาะจะเปรียบเสมือนให้ประโยชน์แก่ผู้ประกอบการมากเกินไป ซึ่งจะทำให้เกิดภาพที่ไม่ดีออกมาได้ รมว.คลังได้แสดงความเป็นห่วงในเรื่องนี้
“ หากมีการลดภาษีให้แก่ผู้ประกอบการ อาจเกิดประโยชน์ขึ้นได้ เพราะจะทำให้ผู้ประกอบการลดสต็อกบ้านลงและลดภาระดอกเบี้ยจ่ายของผู้ประกอบการ ซึ่งส่วนนี้ผู้ประกอบการเองอาจนำมาเป็นส่วนลดราคาบ้านทำให้ผู้ซื้อบ้านได้ประโยชน์จากการลดภาษีธุรกิจเฉพาะ” นายขรรค์กล่าว
ด้านนางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า แผนที่สศค.เสนอเป็นมาตรการภาษี และการลดค่าธรรมเนียม ที่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม และด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยแนะนำให้ใช้เป็นมาตรการชั่วคราวไม่เกิน 1 ปีครึ่ง หรือ สิ้นสุดภายในสิ้นปี 2551
มาตรการที่จะมีผลกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม คือ การเพิ่มหักค่าลดหย่อนค่าใช้จ่ายส่วนตัวในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากไม่เกิน 60,000 บาท เป็น ไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งอาจทำให้ภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในส่วนนี้ลดลงได้ในหลักหมื่นล้านบาท แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะลดลงกี่หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามหากต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมเกิดผลได้โดยเร็วก็จำเป็นต้องทำ
“สำหรับมาตรการที่จะมีผลกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ จะมีการลดค่าธรรมเนียมเงินโอนเหลือ 0.01% จากเดิม 2% ค่าธรรมเนียมการจดจำนองเหลือ 0.01% จากเดิม 1.0% และ ภาษีธุรกิจเฉพาะ เหลือ 0.11% จากเดิม 3.3% ซึ่งมาตรการต่างๆ เหล่านี้ สศค.มีการศึกษาไว้แล้ว หากตัดสินใจทำก็จะสามารถดำเนินการก็สามารถทำได้ทันที" นางพรรณีกล่าว
นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง กล่าวถึงการประกาศมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ว่า หาก รมว.คลังเห็นว่าเหมาะสมก็ควรประกาศใช้ทันที อย่างน้อยเพื่อให้ทันงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 16 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-20 พ.ค.นี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ด้านนายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะการกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น ขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะเป็นผู้ตัดสินใจ ซึ่งต้องใช้การพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะบางมาตรการอาจมีผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล และช่วยกระตุ้นในเพียงระยะสั้นเท่านั้น
“ เท่าที่ผ่านมาเมื่อใดที่เกิดปัญหาด้านเศรษฐกิจขึ้นมาสิ่งแรกที่ทุกคนนึกถึงและนำมาใช้ก็คือมาตรการกระตุ้นด้านอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่เท่าที่เห็นมาทุกครั้งก็สามารถช่วยเหลือได้เพียงระยะสั้นๆ เท่านั้นเป็นการบรรเทาทางด้านจิตใจเท่านั้นส่วนระยะยาวต้องมีมาตรการที่ได้ผลได้ดีกว่านี้” นายสมหมายกล่าว
โฆสิตเร่งอัดฉีดงบภายใน มิ.ย.
วานนี้ (16 พ.ค.) ที่อาคารรัฐสภามีการประชุมร่วมกันของคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภานิติบัญญัตติ (สนช.) จำนวน 4 คณะ ประกอบด้วย คณะกรรมาธิการเงิน การธนาคาร การคลัง และสถาบันการเงิน คณะกรรมาธิการการพาณิชย์ คณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม และคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ สนช. โดยได้เชิญนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎร์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.อุตสาหกรรม มาร่วมประชุมด้วย
ภายหลังการประชุมนาน 2 ชั่วโมง นายโฆสิตกล่าวว่า รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ โดยมีการปรับใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการเข้ามาดูภาพรวม เพื่อทำให้เศรษฐกิจเกิดความเข้มแข็ง ก่อนส่งมอบให้กับรัฐบาลชุดใหม่มาดำเนินการต่อ ซึ่งขณะนี้ได้ขับเคลื่อนการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล การลงทุน ให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ พยายามกระตุ้นให้เกิดการลงทุนเพิ่มมากขึ้น เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอ ดังนั้นต้องหามาตรากระตุ้นการลงทุน ให้เศรษฐกิจเคลื่อนไปได้ในระยะยาว ซึ่งรัฐบาลพยายามดูแลแก้ไข โดยเฉพาะหากมีปัญหาจุดใด ก็ให้รีบเข้าไปแก้
สำหรับการดำเนินนโยบายการกระตุ้นการใช้จ่ายเงินของหน่วยราชการ รัฐบาลจะเร่งให้เกิดการใช้จ่ายงบประมาณที่ส่งออกมาแล้ว แต่อาจจะยังไม่ถึงมือของผู้ที่ประสงค์ต้องการใช้ หรือที่เรียกกันว่า การล้างท่อ โดยเฉพาะในภาคใต้ เพื่อให้สอดคล้องกับวิกฤตที่เกิดขึ้นในพื้นที่ นอกจากนี้ หน่วยราชการที่มีความสำคัญในแง่การใช้งบประมาณขนาดใหญ่ แต่กลับยังไม่มีการใช้จ่ายงบตามแผนงาน ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขโดยเฉพาะขณะนี้มีผู้รับเหมาร้องเรียนว่า หน่วยงานยังไม่ได้จ่ายค่าเค และที่สำคัญคือ จะต้องเร่งรัดให้เกิดสัญญา เพราะถือเป็นจุดเริ่มต้นในการใช้เงิน ซึ่งจะต้องทำให้แล้วเสร็จภายในเดือน มิ.ย.
นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการเงินฯ กล่าวว่า กรรมาธิการฯ มีความมั่นใจในการดำเนินการด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล และการบริหารงบประมาณ ว่ามีประสิทธิภาพ สามารถที่จะกระจายงบประมาณลงมาตั้งแต่เดือน มิ.ย.เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายด้านเศรษฐกิจในภาพรวมได้ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ ที่มีข้อจำกัดในปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้น โดยกรรมาธิการฯ เสนอให้รัฐบาลออกมาตรการพิเศษลงไปในพื้นที่ เพื่อให้เกิดความสนใจในการลงทุนมากกว่าภาคอื่น ร่วมทั้งส่งเสริมให้มีอาชีพ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|