26 มกราคม บริษัท ททท. สินค้าปลอดอากรจำกัด หรือทีเอทีได้ทำการเปิดสาขาแห่งใหม่ในเมืองท่องเที่ยวสุดฮิต
ของนักท่องเที่ยวต่างชาติคือ ภูเก็ต ซึ่งเป็น 1 ใน2 แห่งที่อยู่ในแผนการขยายสาขาเฉพาะในประเทศภายใน
ปี 2536 นี้
ส่วนที่เหลืออีก 1 แห่ง จังหวัดเป้าหมายคือ เชียงใหม่นั้น วิชัย รักศรีอักษร
กรรมการผู้จัดการ ทีเอที กล่าวว่า กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินงาน ซึ่งหัวใจสำคัญของการตัดสินใจเปิดสาขาอยู่ที่จำนวนเที่ยวบินตรงเข้าเชียงใหม่ไม่ว่าจะเป็นสายการบินภายในประเทศของไทย
สายการบินต่างชาติที่บินตรงมาเชียงใหม่ หรือจำนวนชาร์เตอร์ไฟล์ท
หากพิจารณาการเปิดสาขาในจังหวัดเป้าหมายของทีเอทีจะเห็นได้ว่า ล้วนเป็นจังหวัดใหญ่และเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ชาวต่างชาติจัดอันดับการท่องเที่ยวเมืองไทยทั้ง
2 จังหวัดนี้ไว้ในรายการท่องเที่ยวของเขา
จะว่าไปแล้วการคมนาคมก็มีส่วนในการสนับสนุนให้จังหวัดทั้ง 2 นี้เป็นเป้าหมายหลักของนักท่องเที่ยวคือ
การมีเที่ยวบินบินตรงมายังสนามบินภูเก็ตและเชียงใหม่ โดยไม่จำเป็นต้องผ่านสนามบินดอนเมืองอันเป็นสนามบินแห่งชาติของเมืองไทยก็ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาร์เตอร์ไฟล์ที่มีจำนวนเที่ยวบินเป็นปริมาณที่มากกว่าเที่ยวบินในประเทศของสายการบินไทยหรือบางกอกแอร์เวย์เสียอีก
เมื่อเป็นเช่นนี้ทั้งจังหวัดเชียงใหม่และภูเก็ตจึงถือเป็นประตูทางเข้าและทางออกนอกประเทศของเมืองไทยอีกประตูหนึ่ง
กลายเป็นตลาดใหญ่ในการทำรายได้เพิ่มของทีเอที นอกเหนือจากข้อจำกัดในการทำยอดขายเพียงร้านค้าในเมืองได้เท่านั้น
วิชัยมีความหวังในการเปิดร้านสาขาย่อยในเมืองภูเก็ตของเขาว่า ในปีแรกที่เปิดดำเนินการได้ตั้งเป้ายอดขายในไตรมาสแรกไว้
30 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 ยอดขายจะเพิ่มขึ้นเป็น 35 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นโดยประมาณ
15% ของยอดขายในไตรมาสแรกและไตรมาสต่อ ๆ ไป
จากสถิตินักท่องเที่ยวที่เข้าเมืองไทยขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยหรือททท.
รายงานว่าจำนวนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่เข้าเมืองไทยต่อปีประมาณ 700,000 คน
นักท่องเที่ยวเหล่านี้จับจ่ายใช้สอยซื้อของกลับประเทศเป็นจำนวน 3,500 บาทต่อหัว
ในขณะที่ไต้หวันและเกาหลีมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าเมืองไทยปีละประมาณ 500,000
คนและ300,000 คนมีรายจ่าย 1,500 บาทและ 1,400 บาทต่อหัวตามลำดับ
จากสถิตินี้หมายความว่าทั้งญี่ปุ่นและไต้หวันคือกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญว่ากันตามจริงแล้ว
การเปิดสาขาของทีเอทีเป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจสำหรับคนไทยเท่าใดนัก เหตุเพราะข้อจำกัดเงื่อนไขในการลงทุนทำธุรกิจกับรัฐบาลที่ว่าด้วยข้อยกเว้นในการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรให้กับคนไทย
ที่จะเดินทางออกนอกประเทศ ภายใต้เหตุผลที่ว่า รัฐเกรงว่าจะเกิดปัญหาแย่งชิงลูกค้ากับร้านปลอดอากรของการท่าฯ
ซึ่งมีบริษัท บี-เอดีเอฟ ได้รับสัมปทานดำเนินธุรกิจอยู่ในขณะนี้
รัฐได้กำหนดว่าให้คนไทยที่จะเดินทางไปต่างประเทศมีสิทธิที่จะซื้อสินค้าปลอดอากร
เพื่อเป็นของฝากหรือของที่ระลึก ได้เฉพาะที่ร้านปลอดอากรของการท่าได้เท่านั้น
ส่วนร้านปลอดอากรในเมือง ซึ่ง ททท. ดำเนินการโดยมีบริษัทดาวน์ทาวน์ จำกัดเป็นผู้ที่ได้รับสัมปทานจาก
ททท. นั้นให้ขายได้เฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่านั้น ซึ่งการซื้อสินค้าจากร้านปลอดอากรในเมืองจะรับสินค้าได้ที่สนามบินดอนเมืองขาออกนอกประเทศเท่านั้น
การเปิดสาขาย่อยของทีเอทีใน 2 จังหวัดซึ่งเป็นประตูทางเข้า-ออกของเมืองไทยจึงถือเป็นการบริการความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น
แต่ขณะเดียวกันวิชัยเองก็มีความหวังว่าคนไทยที่จะเดินทางไปต่างประเทศ ก็น่าที่จะได้รับความสะดวกดังกล่าวเสมือนนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยเช่นกัน
คือสามารถซื้อสินค้าปลอดอากรในเมืองได้
ข้อจำกัดเงื่อนไขดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่วิชัยต่อสู้มาโดยตลอด เขาได้ใช้ความพยายามในการผลักดันให้ข้อจำกัดเรื่องคนไทยนี้หมดไป
ทีเอทีเปิดดำเนินการมาเป็นเวลา 3 ปีตลอดระยะเวลา 3 ปีมีการผลัดเปลี่ยนผู้บริหารประเทศหลายชุด
และไม่ว่าจะเป็นชุดใดที่เข้ามาบริหารประเทศ วิชัยได้ใช้ความพยายามเสนอขอแก้ไขข้อจำกัดของตลาดเป้าหมายใหม่ทุกครั้ง
ทุกครั้งที่เสนอเข้าที่ประชุมของคณะรัฐมนตรีข้อเสนอของเขาก็มีอันเป็นไปถูกเด้งกลับออกมาทุกที
"ใน ครม. มีหลายท่านที่เห็นด้วย แต่ที่ไม่เห็นด้วยมีเสียงมากกว่า
ผลมันจึงลงเอยที่ไม่สำเร็จทุกครั้งที่เสนอเข้าไป มันจึงเป็นความล้มเหลวของผม"
วิชัยกล่าว
อย่างไรก็ตาม วิชัยก็ไม่ได้ละความพยายาที่จะเปิดตลาดเพิ่มในกลุ่มเป้าหมายคนไทยให้ได้
วิชัยรู้ว่าคนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศมีจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่พฤติกรรมของคนไทยชอบซื้อของอยู่แล้ว
และหากเขาสามารถซื้อสินค้าจากร้านปลอดอากรในเมืองไทยได้ ทีเอทีก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก
คาดว่าประมาณ 20% เลยทีเดียว
การไม่ละความพยายามของวิชัยก็คือเมื่อปลายปี 35 ที่ผ่านไปแล้วนั้น วิชัยได้ยื่นข้อเสนอขอแก้ไขข้อจำกัดในเงื่อนไขห้ามจำหน่ายสินค้าปลอดอากรแก่คนไทยไปยังรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
"ไตรรงค์ สุวรรณคีรี"
หาก รมช. เห็นชอบก็สามารถออกคำสั่งไปยังอธิบดีกรมศุลกากรเพื่อพิจารณาอนุมัติให้ทีเอทีดำเนินการได้โดยอัตโนมัติทันที
งานนี้ว่ากันว่า วิชัยลอยลำไปแล้ว 50% เพราะ รมช. ไตรรงค์มีทีท่าว่าเห็นด้วยกับการแก้ไขข้อจำกัดดังกล่าว
ด้วยเห็นว่าคนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศซึ่งมีเอกสารเดินทางที่บ่งชัด ก็น่าที่จะถือเป็นเสมือนคนต่างชาติที่กำลังจะเดินทางออกนอกประเทศได้ด้วยเช่นกัน
หากการวิ่งเต้นของวิชัยในครั้งนี้สำเร็จ ทีเอทีจะมีฐานตัวเลขผลประโยชน์ให้กับ
ททท. ตามเป้าหมายถึง 400 ล้านบาทอย่างแน่นอน ซึ่งผลประโยชน์นี้มีฐานมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ
80% และคนไทย 20% ซื้อสินค้าจากร้านปลอดอากรในเมือง 4 แห่งคือ อาคารมหาทุนพลาซ่า
หน้ากรมศิลปากร ภูเก็ต รวมทั้งการขยายสาขาในประเทศเพื่อนบ้าน
ทีเอทีมีเวลาในการดำเนินธุรกิจตามอายุสัมปทานที่เหลืออีก 2 ปีหากผลประโยชน์ได้ตามเป้าหมาย
ทีเอทีอาจได้ต่อสัมปทานภายในปีนี้โดยอัตโนมัติ แต่หากทีเอทีทำตัวเลยไม่ถึงเป้าปี
2537 ก็อาจจะได้เห็นการแข่งขันการประมูลอีกครั้งจึงเป็นเรื่องที่น่าจับตามอง