จุดจบ “อีลิท การ์ด”ใครได้-ใครเสีย?..


ผู้จัดการรายสัปดาห์(30 เมษายน 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

ดูเหมือนว่าเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ที่อยากให้ยกเลิกบัตรไทยแลนด์ อีลิท การ์ด ทันทีนั้น นอกจากจะไม่สร้างแรงกดดันแล้วยังส่งผลให้รัฐบาลชุดนี้ที่มี ดร.สุวิทย์ ยอดมณี เป็นเจ้ากระทรวงท่องเที่ยวและกีฬากลับเดินหน้ายื้อต่อ เพื่อซื้อเวลาออกไป ถึงแม้ว่าหลายฝ่ายจะมีเสียงออกมาคัดคัดก็ตามแต่รัฐบาลชุดนี้กลับไม่กล้าฟันธงเพื่อยกเลิกโครงการบัตรเทวดา ทั้งๆที่ยังมองไม่เห็นอนาคตว่าบัตรดังกล่าวจะสามารถเนรมิตให้เป็นไปตามแผนงานแต่อย่างใด

ปัญหาหลายเรื่องเกี่ยวกับโครงการ บัตร ไทยแลนด์ อีลิท การ์ด ที่ยังไม่สามารถหาข้อยุติแก้ไขลงได้กำลังจะกลายเป็นดาบสองคมคอยทิ่มแทงรัฐบาลนอกจากจะไม่ก่อให้เกิดผลกำไรตามแผนที่วางไว้กลับจะส่งผลต่ออนาคตภาพรวมการท่องเที่ยวของไทยในอนาคต

ภราเดช พยัฆวิเชียร อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในฐานะรองประธานคนที่ 1 ของคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว สนช. ที่ไม่เห็นด้วยกับการ "ยื้อ"เพื่อซื้อเวลาต่อไป ซึ่งไม่ใช่แค่เสียงเดียวเท่านั้นที่ต้องการยกเลิก

หากไปถามกูรูด้านท่องเที่ยวแล้วเสียงส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่าควรจะหยุดโครงการนี้ทันที โดยเฉพาะ กงกฤช หิรัญกิจ นายกสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และเป็นกรรมมาธิการ สนช.ยังคงยืนยันให้รัฐบาลควรยุบโครงการไทยแลนด์ อีลิท การ์ด ลง ถึงแม้ว่าจะจัดทำแผนใหม่มาเสนออีกกี่ครั้งก็ตามทาง สนช.ก็ไม่เห็นด้วย

“ผมและท่านภราเดช พยัฆวิเชียร ที่ปรึกษา 11 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) อดีตผู้ว่าการ ททท. ซึ่งเป็นที่ปรึกษาท่านรัฐมนตรีฯสุวิทย์ ได้บอกเหตุผลถึงความเหมาะสมที่จะยุติโครงการอีลิทการ์ดแต่ท่านรัฐมนตรีฯก็ยังมองว่าควรจะให้มีโครงการนี้ต่อไป”กงกฤช กล่าว

ทั้งนี้แม้ว่า ทีพีซี จะจัดทำแผนงานใหม่มายื่นเสนอต่อ สนช. อีก โดยส่วนตัวก็ยังเห็นว่าควรยุติโครงการนี้เสีย เพราะบริษัททีพีซี เป็นบริษัทเชิงธุรกิจแม้จะมีกำไรมากหรือน้อยก็ตาม แต่ก็ถือว่าผิดวัตถุประสงค์ของรัฐบาลตามที่ได้แถลงไว้เมื่อครั้งที่เข้ามารับตำแหน่ง โดยระบุไว้ชัดเจนว่า รัฐบาลจะพึ่งส่งเสริมเอกชนในการทำธุรกิจ ไม่ใช่รัฐบาลจะมาตั้งบริษัทดำเนินธุรกิจเสียเอง ซึ่งถือว่าผิดในหลักการและหากมองว่า เมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่ที่ได้จากการเลือกตั้งเข้ามาจะดึงโครงการนี้ขึ้นมาทำต่อ จึงเกรงว่าภาพลักษณ์ของประเทศไทยจะเสียหาย เพราะเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลนโยบายก็เปลี่ยนนั้น ตรงนี้เชื่อว่ารัฐบาลชุดใหม่จะใช้ดุลพินิจก่อนแน่นอนว่าสมควรหรือไม่

กงกฤช กล่าวยืนยันตามเดิมว่า แม้แผนใหม่ของอีลิท จะมองไปในอนาคตถึง 20 ปี ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ จะเลี้ยงตัวเองได้จากดอกเบี้ยและผลกำไร ตลอดจนสร้างเงินตราเข้าประเทศ โดยใน 3 ปีข้างหน้าหากได้ดำเนินกิจการต่อ บริษัทก็จะมีกำไร สามารถใช้คืนเงินทุนให้แก่ ททท.ได้ ตรงนี้เป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งมีความไม่แน่นอน รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลรักษาการ ไม่ควรคิดทำการอะไรที่วาดยาวไปถึงอนาคตเช่นนี้ ดังนั้นแผนธุรกิจของทีพีซีฉบับใหม่นี้จะเชื่อถือได้อย่างไร และไม่มีใครกล้ายืนยันได้ 100% ว่า จะเป็นตามที่วางแผนไว้ทุกประการ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทำไมจะต้องมาเสียเวลาให้ทีพีซี ลองผิดลองถูกต่อไปอีก

แม้จะปรับราคาค่าบัตรให้สูงขึ้นจาก 1 ล้านเป็น 3 ล้านบาทก็ตาม...แต่ดันไปลดเรื่องของสิทธิประโยชน์พิเศษที่สมาชิกจะได้รับลงไป เป็นการสวนกระแสของการทำตลาดทางธุรกิจ ซึ่งน่าจะส่งผลทำให้เกิดคำถามตามมาว่า แล้วบัตรเทวดาจะขายได้อย่างไร ?

ในขณะที่ความสับสนของปัญหาเรื่องของสิทธิประโยชน์ต่างๆยังคงไม่ได้รับการแก้ไขคาราคาซังอยู่แบบนี้ ถึงแม้ว่าจะมีการทำแผนธุรกิจระยะยาว 20 ปี โดยมีดัชนีตัวเลขสวยหรูปั้นแต่งมาแสดงให้เห็นก็ตาม ขณะเดียวกันก็เพิ่มบทบาทของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) กลับไปตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทำงานของอีลิท การ์ดอีกชั้นหนึ่งก็ตาม...หากแผนงานการบริหารจัดการใหม่เกิดล้มเหลวขึ้นมาอีกถามว่าใคร ? คือผู้รับผิดชอบและแน่นอนคำตอบก็ยังไม่มีอีกเช่นเคย

กูรูด้านท่องเที่ยวเชื่อกันว่าผู้ที่หัวชนฝาไม่อยากให้ "ยกเลิก"โครงการนี้น่าจะมีนัยยะสำคัญอะไรบางอย่าง โดยใช้เรื่องของการถูกต่างชาติฟ้องร้องเสียค่าเสียหายมาเป็นประเด็นหลักเพื่อสร้างกระแสให้เกิดความหวั่นวิตกถึงภาพลักษณ์ของประเทศ ส่งส่งผลให้รัฐบาลชุดนี้ต้องดันทุรังเพื่อยืดระยะเวลาของบัตรเทวดาต่อไป แถมยังปรับราคาบัตรให้สูงขึ้นพร้อมดึงหน่วยงานอย่าง ททท.มาเป็นผู้ตรวจสอบเพื่อการันตีว่าอนาคตของโครงการไทยแลนด์ อีลิท การ์ด จะสามารถสานฝันต่อได้

หากดูตามข้อเท็จจริงแล้วผลประโยชน์น่าจะตกไปอยู่กับเอเย่นต์หรือตัวแทนขายบัตรอีลิท การ์ด ซึ่งถือเป็นตัวจักรสำคัญในการทำการตลาดของบัตรเทวดา ตั้งแต่เริ่มต้น โดยมีคอมมิชชั่นเป็นค่าตอบแทนและถ้าแผนงานระยะยาว 20 ปีของโครงการไทยแลนด์ อีลิท การ์ด ผ่านความเห็นชอบด้วยแล้วผลตอบแทนค่าเหนื่อยที่จะได้รับก็จะกลายเป็นเม็ดเงินมหาศาลตามไปด้วยเช่นกัน

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไม่มีความเคลื่อนไหวของ เอเย่นต์ขายบัตร ออกมาในช่วงนี้ซึ่งต่างกับในช่วงแรกๆที่มีข่าวว่าจะยุบโครงการไทยแลนด์ อีลิท การ์ด ลงจะเห็นว่าค่ายใหญ่ๆที่เป็นเอเย่นต์จะออกมาประกาศก้องว่าถ้ายุบต่างประเทศฟ้องกลับแน่นอน...แต่ครั้งนี้กลับเก็บตัวเงียบ

หากย้อนไปในอดีตที่ผ่านมาฝ่ายบริหารของไทยแลนด์อีลิทการ์ดเป็นเพียงหน่วยงานหนึ่งที่ถูกตั้งขึ้นเปรียบเสมือนหัวโขนที่ไม่มีบทบาทอะไรมากนัก ขณะเดียวกันก็ยืมจมูกของเอเย่นต์หายใจมาโดยตลอดซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าฝ่ายบริหารแทบไม่ต้องทำอะไรหรือออกแรงน้อยมาก

ปัจจุบันบทบาทหน้าที่สำคัญของฝ่ายบริหารในการนำเสอนแผนธุรกิจใหม่เพื่อให้ ไทยแลนด์อีลิทการ์ด อยู่รอด นั้นกลายเป็นโจทย์ที่หาคำตอบได้ยาก แม้ว่าจะใช้วิธีลดค่าใช้จ่ายและหารายได้เพิ่ม ด้วยการลดค่าคอมมิชชั่นแก่ตัวแทนขายหรือเอเย่นต์ลง ซึ่งจากเดิมหากรวมทั้งจากเปอร์เซ็นต์ยอดขาย ค่าโฆษณา ค่าการตลาด ทำได้ตามเป้า รวม ๆ แล้วร่วม 30 % นั้นนับว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจไม่เบา

โดยเฉพาะค่าคอมมิชชั่นที่ตัดทอนแบ่งให้เอเย่นต์ขายบัตรจะลดเหลือแค่ 15 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ในความเป็นจริง เอเย่นต์ขายก็ยังได้ประโยชน์เป็นกอบเป็นกำอยู่ดี เพราะเท่ากับคิด 15 เปอร์เซ็นต์จากราคาขายบัตรใหม่ที่จะถูกปรับขึ้นมาเป็น 3 ล้านบาท ไม่ใช่ 15 เปอร์เซ็นต์จาก 1 ล้านบาทของเดิม

จุดประสงค์หลักที่ต่างชาติต้องการเป็นสมาชิกบัตรเทวดานั้น คงจะเป็นเรื่องของบริการทาง "วีซ่า" ตลอดชีพมากกว่าสิทธิประโยชน์ต่างๆที่ถูกวางไว้ในโปรแกรมไม่ว่าจะเป็นตีกอล์ฟ พักโรงแรมหรู ใช้บริการสปา หรืออื่นๆที่สมาชิกบัตรแทบไม่ค่อยมีเวลาไปใช้บริการเลย

เรียกว่างานนี้เถียงกันแทบเป็นแทบตายระหว่างรัฐบาลกับสนช.ว่าจะให้โครงการไทยแลนด์ อีลิท การ์ด อยู่หรือไป แต่ผลประโยชน์กลับตกไปอยู่เอเย่นต์ขายบัตรเสียมากกว่า...แน่นอนเรื่องนี้ยังคงไม่สายเกินแก้ไขหากยิบยกเอาประเด็นสำคัญไปถกกันในครม.เพื่อหาทางออก ไม่เช่นนั้นแล้วรัฐบาลชุดนี้ อาจกลายเป็นเครื่องมือของคนกลุ่มหนึ่งไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าแผนใหม่ที่กำลังจะคลอดออกมาผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว และไม่สามารถทำได้ตามแผนงานที่วางไว้กลายเป็นปัญหาที่ต้องคอยแก้ไขตลอดเวลา....เชื่อได้ว่าคงไม่มีใครที่กล้าเอาหัวมาเป็นประกันแน่นอน?


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.