ตระกูลศุภรสหัสรังสี มีพื้นเพเดิมอยู่ ที่อำเภอสัตหีบ ก่อน ที่จะย้ายเข้ามาปักหลักทำมาหากินในตำบลนาเกลือ
อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ด้วยการเปิดร้านขายของชำบริเวณตลาดนาเกลือ พัทยา
เมื่อประมาณ 60 ปีก่อน การดำเนินธุรกิจของตระกูลเป็นไปอย่างราบเรียบ จนกระทั่งสันต์
ศุภรสหัสรังสี และวิจิตร ศุภรสหัสรังสี คนรุ่นลูกเติบโตขึ้น การขยายธุรกิจของตระกูลจึงเริ่มขยับตัวตาม
เมื่อครั้ง ที่สันต์ ศุภรสหัสรังสี อายุ 17-18 ปี ได้ร่วมหุ้นกับวิจิตรผู้เป็นน้องเปิดร้านค้าวัสดุก่อสร้างในชื่อวุฒิกรวัสดุก่อสร้างพร้อมๆ
กับรับเหมาก่อสร้าง ธุรกิจดังกล่าวดำเนินไปได้ระยะหนึ่ง พอดีกับ ที่เมืองพัทยาก็เริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะเมืองท่องเที่ยว และเริ่มมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้น
สันต์ และน้องชายเริ่มมองเห็นลู่ทางการขยายธุรกิจ และฉวยโอกาสที่ดี จากการเป็นผู้ค้าวัสดุก่อสร้าง และผู้รับเหมา
เช่าที่ดินบริเวณสี่แยกอาลีเหมาะของ โกศล ไกรฤกษ์ นักการเมือง และอดีตเจ้าของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ตะวันออก
ฟายแนนซ์ ก่อสร้างโรงแรมขึ้นโดยหุ้นกับอุดมชัย ศุภรสหัสรังสี ผู้เป็นอา และ
วิจิตร ศุภรสหัสรังษี โดยเปิดเป็นโรงแรมขนาดเล็ก มีห้องพักไม่กี่สิบห้อง
การดำเนินธุรกิจในช่วงนั้น ถือว่าประสบผลสำเร็จ เพราะห้องพักสำหรับให้บริการนักท่องเที่ยวในเมืองพัทยาขณะนั้น มีไม่มาก
ประกอบกับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวยุโรป โดยเฉพาะเยอรมัน ที่เข้ามายังเมืองพัทยา
มีความต้องการที่พักในราคาปานกลางจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และต้องเป็นโรงแรม ที่มีอาคารสูงไม่เกิน
3 ชั้น โรงแรมแห่งแรกของตระกูลศุภรสหัสรังสีจึงได้รับความนิยมอย่างมาก
ต่อมาภายหลังหุ้นส่วนทั้งสามได้ยกเลิกการเช่าที่จากโกศล และหันมาเช่าที่บริเวณพัทยาเหนือ
ของปริญญา ชวลิต-ธำรง ราชา ที่ดินเมืองพัทยา ตามคำเชื้อเชิญของปริญญา ที่ต้องการให้มีโรงแรมเกิดขึ้นบริเวณพัทยาเหนือ
เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
หุ้นส่วนพี่น้องทั้งสามได้ตั้งโรงแรมแห่งใหม่ในชื่อปาล์ม การ์เด้น เป็นโรง
แรมแห่งแรก ที่ใช้ชื่อในเครือปาล์ม และขยายเพิ่มขึ้นอีก 3 โรงแรมบริเวณพัทยาเหนือ
และพัทยาสาย 2 คือ โรงแรมปาล์ม ลอร์ด, ปาล์มวิลล่า และ ปาล์ม การ์เด้น ปัจจุบันโรงแรมทั้ง
4 แห่ง มีห้องพักรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 400 ห้อง
โรงแรมในเครือปาล์มทั้งหมดวางตำแหน่งเป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว สัด ส่วนพนักงานต่อห้องพักประมาณ
0.5 ต่อ 1 หรือพนักงาน 2 คนรับผิดชอบ ห้องพัก 1 ห้อง และมีห้องอาหารรวม บาร์
สระว่ายน้ำ ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถ กำหนดราคารองรับชาวต่างชาติ ที่ต้องการห้องพักระดับกลางได้
ขณะที่โรง แรมระดับ 4-5 ดาว จะใช้พนักงานต่อห้องพักในสัดส่วน 1.5-2 ต่อ 1
และ มีห้องอาหารแยกหลายประเภท เช่น ห้องอาหารจีน อาหารฝรั่ง หรือห้องอาหารอื่นๆ
ในช่วง ที่ธุรกิจโรงแรมเริ่มดำเนินไปด้วยดี สันต์ ศุภรสหัสรังสี และ วิจิตร
ศุภรสหัสรังสี ได้หันหลังให้ธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง และรับเหมาก่อสร้าง โดยสิ้นเชิง
ทั้งสองได้ขายหุ้นส่วนบริษัทก่อสร้าง ที่เคยทำให้กับบุตรชายของ อุดมชัย ศุภรสหัสรังสี
ผู้เป็นอา ซึ่งเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่ง แล้วหันมาดำเนินธุรกิจโรงแรมอย่างเต็มตัว
ในปี 2520 สันต์ ศุภรสหัสรังสี ได้แตกธุรกิจโรงแรมออกมาบริหารเอง โดยยกโรงแรมในกลุ่มปาล์มให้วิจิตร
ศุภรสหัสรังสี เป็นผู้ดำเนินการโดย ตนเองได้ตั้ง "ซันไชน์ กรุ๊ป"
ขึ้น เพื่อบริหารโรงแรมในเครือเอง
สันต์ตั้งโรงแรมแห่งแรกในเครือซันไชน์ กรุ๊ป ขึ้น ที่บริเวณพัทยากลาง ซอย
8 ใช้ชื่อว่าโรงแรมซันไชน์ โดยรูปแบบการดำเนินงานยังคงยึดการเป็น โรงแรมระดับ
3 ดาว ซึ่งมีห้องพักประมาณ 20 ห้องราคาห้องพักอยู่ในระดับ ปานกลาง เมื่อบริหารงานได้ประมาณ
2-3 ปี ธุรกิจเริ่มดีขึ้นเพราะความ ต้องการห้องพักขนาดกลางมีสูง ตามจำนวนนักท่องเที่ยวระดับกลาง ที่เดินทางเข้ามายังเมืองพัทยามากขึ้น
สันต์จึงเริ่มขยายธุรกิจในเครือด้วยการตั้งโรงแรมแห่งใหม่ ขึ้นมาตามลำดับอีก
3 โรงแรมคือ โรงแรมซันไชน์ การ์เด้น โรงแรมโลมา ในซอยวงศ์ อำมาตย์ และโรงแรมกรีนพาร์ค
บริเวณนาเกลือ โดยโรงแรมทั้ง 4 แห่งมี ห้องพักรวมกันประมาณ 400 ห้อง
สันต์บริหารธุรกิจโรงแรมหลังแยกตัวจากน้องชายได้ประมาณ 10 กว่าปี จึงเริ่มเปลี่ยนมือให้นักบริหารรุ่นที่
2 ของตระกูลคือ ธเนศ ศุภรสหัสรังสี เข้าดูแลกิจการแทนในช่วงปี 2532-2533
หลังจากธเนศเรียนจบปริญญาตรี สาขารัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากนั้น ธเนศใช้เวลาอีก
2 ปีในการเดินทางไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ และเริ่มเข้ามาบริหารธุรกิจของครอบครัวอย่างจริงจัง
ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา ควบคู่ไปกับการเข้าร่วมกิจกรรมของเมืองพัทยา
ด้วยการเป็นเลขาธิการสมาคมนักธุรกิจ และการท่องเที่ยวเมืองพัทยา
ธเนศเล่าว่ากลุ่มของตนถือเป็นกลุ่มแรก ที่เข้ามาดำเนินธุรกิจโรงแรม ขนาด
3 ดาว ในเมืองพัทยา และถือว่าเป็นการเข้ามาดำเนินธุรกิจ ที่ประสบความสำเร็จเพราะนอกจากจะเป็นกลุ่มแรกๆ
ที่เข้ามาบุกเบิกธุรกิจให้บริหาร ที่พักในเมืองพัทยาแล้ว ยังเป็นกลุ่ม ที่เปิดโรงแรมขึ้นมา เพื่อรองรับความ
ต้องการโรงแรมขนาดกลางของนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกด้วย
"การดำเนินธุรกิจโรงแรมของตระกูลในช่วงแรกๆ
ถือว่าดีมาก และดีอย่างสม่ำเสมอ เพราะช่วงนั้น เมืองพัทยายังไม่มีห้องพักเพียงพอ ที่จะรองรับนักท่องเที่ยว
แต่พอมาถึงยุคหลังการบริหารงานโรงแรมเริ่มยากขึ้น เพราะภาพพจน์ของพัทยาถูกโจมตีในเรื่องของการเป็นเมืองธุรกิจทางเพศ
ขณะเดียวกัน การเกิดใหม่ของโรงแรมจำนวนมากทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคา ซึ่งเป็นส่วน
สำคัญ ที่ทำให้มาตรฐานการให้บริการด้าน ที่พักของเมืองพัทยาตกต่ำ"
ธเนศเคยนำเรื่องเสนอผ่านสมาคมนักธุรกิจ และการท่องเที่ยวเมืองพัทยา ที่เขาทำงานเป็นเลขาฯ
อยู่เสนอให้กรอ.(คณะกรรมการร่วมภาครัฐ และเอกชนเมืองพัทยา) จัดทำโซนนิ่งในพื้นที่พัทยาเหนือให้เป็นเขตสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว
โดยบริเวณดังกล่าวจะต้องไม่มีสถานบริการทางเพศเปิดให้บริการ แต่กรอ.บอกว่าไม่สามารถจัดทำการแบ่งโซนนิ่งได้
เพราะการทำธุรกิจในเมืองพัทยาถือเป็นการทำธุรกิจโดยเสรี
ธเนศบอกว่าเรื่องธุรกิจบริการทางเพศ กำลังเป็นจุดด้อย ที่ฉุดรั้งการพัฒนาการท่องเที่ยวของเมืองพัทยา
เพราะทำให้พัทยาเสียตลาดนักท่องเที่ยวเกรดดีให้กับเมืองท่องเที่ยวอื่นอย่างภูเก็ต
และบาหลี โดยนักท่องเที่ยว ที่เข้ามาในเมืองพัทยาขณะนี้มีแต่นักท่องเที่ยวระดับกลางลงไปเท่านั้น
ผลกระทบ ที่มีต่อธุรกิจท่องเที่ยวของเมืองพัทยา ไม่เพียงแต่นักท่องเที่ยวระดับคุณภาพลดลง
ปัจจุบันแม้ตัวเลขนักท่องเที่ยว ที่เข้ามาในเมืองพัทยาจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น
แต่ธเนศบอกว่าเป็นตัวเลข ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มนักท่องเที่ยว ที่ไม่มีคุณภาพ
และไม่มีกำลังซื้อ ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยว และตัวเลขรายได้ต่อหัว ที่เข้ามาในเมืองพัทยามีทิศทาง ที่สวนทางกัน
"เมื่อมองเมืองพัทยา และธุรกิจท่องเที่ยวของเมืองพัทยาย้อนไป
20-30 ปีก่อน สมัย ที่พ่อผมทำธุรกิจ ในสมัยนั้น นักท่องเที่ยว ที่เข้ามาในพัทยาเป็นนักท่องเที่ยวจากยุโรปทั้งหมด
พอมาระยะหลังเมื่อโรงแรมเพิ่มมากขึ้น ลูกค้าเอ เชีย และทัวร์จีนก็เพิ่มตามมา
โดยปัจจุบันสาเหตุที่ทำให้รายได้ต่อหัวของนักท่องเที่ยว ที่เข้ามาในพัทยาลดลง
เป็นเพราะการหั่นราคาห้องพักแข่งกันเองของผู้ประกอบการต่างๆ โดยยอมให้เอเยนต์ทัวร์เป็นผู้กำหนดราคา"
ธเนศบอกว่าสมัยก่อนการบริหารธุรกิจโรงแรมในยุคที่พ่อเป็นผู้ดำเนินการไม่ต้องปรับตัวอะไรมากนัก
แต่ภายหลังเมื่อเขาเข้ามาบริหารงานก็ถึงยุคที่การแข่งขันรุนแรงขึ้น เพราะโรงแรม ที่เกิดใหม่มีมาก
โรงแรม ที่เขาบริหารอยู่ จำเป็นต้องเปิดรับลูกค้ากลุ่มเอเชีย ทั้ง ที่แต่เดิมรับเฉพาะกลุ่มยุโรป
และเริ่มมองหาลูกค้าในตลาดใหม่ๆ ให้เพิ่มขึ้นแทน ซึ่งในแต่ละปีธเนศจะร่วมเดินทาง
กับสำนักงานการท่องเที่ยวเมืองพัทยา สมาคมนักธุรกิจ และการท่องเที่ยว เมืองพัทยา
และเมืองพัทยา เพื่อเดินทางไปเปิดตลาดใหม่ในต่างประเทศตลอด โดยตลาดที่น่าสนใจขณะนี้คือ ตลาดในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย
สำหรับการทำตลาดต่างประเทศนั้น ธเนศเผยว่าทางกลุ่มเน้นการไปเปิดตลาดในต่างประเทศร่วมกับหน่วยงานต่างๆ
เช่น สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สาขาพัทยา และเมืองพัทยา
สมาคมโรงแรมไทยเมืองพัทยา ในการทำโรดโชว์ในประเทศต่างๆ รวมทั้งได้ติดต่อกับกรุ๊ปทัวร์ต่างประเทศเอง
โดยตลาดใหม่ของโรงแรมคือ กลุ่มประเทศในคาบสมุทร สแกนดิเนเวีย ปัจจุบันลูกค้าของโรงแรมมาจากกรุ๊ปทัวร์เป็นหลัก
และมีกลุ่มลูกค้าขาจรบางส่วน
นอกจากนั้น ในส่วนการทำตลาดในประเทศ โรงแรมขนาดกลาง- เล็กในเมืองพัทยา ที่มีขนาดห้องพักแห่งละไม่เกิน
80 ห้อง ประมาณ 30 แห่ง ได้ รวมตัวกันจัดโครงการ "Benefits around Pattaya"
ซึ่งเกิดจากแนวความคิดของชมรมโรงแรมเมืองพัทยา เพื่อกระตุ้นการเข้าพักของนักท่อ
งเที่ยวใน ประเทศ ซึ่งจะกลายเป็นตลาดหลักในปีค.ศ.2543 โดยนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ
จะกลายเป็นตลาดสำคัญ เพราะกว่า 60% ของนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่เข้ามา ในเมืองพัทยาเป็นนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ
โครงการดังกล่าวจะจัดทำบัตรสิทธิประโยชน์ ที่ให้ส่วนลดสำหรับการเข้าพักโรงแรม
สถานที่ท่องเที่ยว และร้านอาหาร ที่เข้าร่วมโครงการ เริ่มระหว่าง วันที่ 1
มกราคม 2543 - 31 ธันวาคม 2544
สำหรับเป้าหมายการขยายธุรกิจของกลุ่มซันไชน์ กรุ๊ป นั้น คือ การขยายการลงทุนธุรกิจโรงแรมไปยังเมืองท่องเที่ยวอย่างหัวหิน
และปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งกลุ่มซันไชน์ กรุ๊ป ซื้อ ที่ดินเก็บไว้ตั้งแต่สมัยหัวหินยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก
"ก่อนหน้านี้เคยมีนักธุรกิจในจังหวัดภูเก็ตเชิญเราเข้าไปสร้างโรงแรมบน ที่ดินของเขา
แต่เราเห็นว่าภูเก็ตเริ่มอยู่ในภาวะอืด และนักท่องเที่ยวเริ่มเข้าไปท่องเที่ยวน้อยลงแแล้ว
ขณะเดียวกันการจะไปเปิดธุรกิจโรงแรมในช่วง ที่ภูเก็ต มีการปรับราคาค่า ที่พักขึ้นถึง
40% ในช่วงเวลา 2-3 ปีติดต่อกันเป็นเรื่อง ที่ยาก จึงเบนมา ที่หัวหิน และปราณบุรี
ที่ยังมีศักยภาพทางการท่องเที่ยวที่ดีอยู่แทน"
การบริหารงานโรงแรมในกลุ่มทั้งหมด ธเนศยอมรับว่าจำเป็นต้องจ้างมืออาชีพเข้ามาดำเนินการ
เพราะปัจจุบันคนในตระกูลมีไม่เพียงพอ ที่จะเข้า มาดูแล โดยการลงทุน ที่หัวหิน และปราณบุรี
ก็จำเป็นต้องจ้างมืออาชีพ และ ย้ายพนักงานเก่าแก่ของบริษัทเข้าไปดูแลเช่นกัน
ทั้งนี้เขาจะยังเป็นผู้ควบคุมนโยบายอยู่