|
SSIฉวยจังหวะราคาเหล็กแผ่นฯพุ่งเร่งส่งออกเพิ่มหนุนรายได้ปีนี้โต20%
ผู้จัดการรายวัน(10 เมษายน 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
SSI ลั่นปีนี้ยอดขายโตกว่า 20% จากปีก่อนที่ยอดขาย 3.52 หมื่นล้านบาท เนื่องจากตั้งเป้าผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนไว้ 2.4 ล้านตันเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 20% รวมทั้งราคาเหล็กแผ่นฯในตลาดโลกพุ่งไม่หยุด ล่าสุดดีดขึ้นไปอยู่ที่ 600-650 เหรียญสหรัฐต่อตัน ชี้เศรษฐกิจไทยปีนี้ชะลอตัว ส่งผลให้ความต้องการใช้เหล็กในประเทศลดลง ตั้งเป้าปีนี้ส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 25%ของยอดขาย
นายวิน วิริยะประไพกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) (SSI) เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายในปีนี้เติบโตไม่น้อยกว่า 20%จากปีก่อนที่ยอดขาย 3.52 หมื่นล้านบาท เนื่องจากกำลังการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อน 2.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณ 20%จากปีก่อนที่เดินเครื่องผลิตเกือบปีละ 2 ล้านตัน รวมทั้งราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนในตลาดโลกได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาตลอดนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
โดยไตรมาสแรกปีนี้ ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ตันละ 500-550 เหรียญสหรัฐ สูงกว่าปีที่แล้วที่มีราคาเฉลี่ยเพียงตันละ 400-450 เหรียญสหรัฐ และไตรมาส 2 นี้ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนได้ขยับเพิ่มขึ้นมาอีก 100 เหรียญสหรัฐมาอยู่ที่ตันละ 600-650 เหรียญสหรัฐ คาดว่าทั้งปีราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนจะทรงตัวในระดับสูงกว่าปีที่แล้ว สืบเนื่องจากความต้องการใช้เหล็กในตลาดโลกยังมีอัตราการเติบโตสูงต่อเนื่องหลายปีแล้วทั้งสหรัฐฯ ตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออก อเมริกาใต้ รวมทั้งจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีการบริโภคเหล็กรายใหญ่ของโลกด้วย
สวนทางกับความต้องการใช้เหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศที่คาดว่าจะลดลงจากปีก่อน สืบเนื่องจากเศรษฐกิจไทยชะลอตัว และยังไม่มีสัญญาณอะไรบ่งชี้ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังทำให้ยอดการใช้เหล็กเพิ่มขึ้น ดังนั้นบริษัทฯจึงได้ปรับตัวโดยหันมาผลิตเหล็กคุณภาพพิเศษ โดยมุ่งเจาะตลาดที่มีความต้องการใช้เหล็กแผ่นฯอย่างสม่ำเสมอ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ และส่งออกไปต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยปีนี้คาดว่าจะส่งออกเหล็กแผ่นคุณภาพพิเศษไม่น้อยกว่า 25%ของยอดขาย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดการส่งออกประมาณ 23%ของยอดขาย โดยไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทฯส่งออกเหล็กแผ่นฯได้ตามเป้าหมาย
โดยตลาดส่งออกหลัก คือสหรัฐฯ อาเซียน ยุโรปตะวันออก และประเทศแถบตะวันออกกลาง รวมทั้งจะแสวงหาตลาดใหม่ๆ เช่น อินเดีย แอฟริกา เป็นต้น ขณะที่การส่งออกไปจีนลดลง เพราะตลาดอื่นได้ราคาดีกว่า
" เนื่องจากกำลังการผลิตเหล็กในตลาดโลกค่อนข้างตึงตัว ทำให้ราคาเหล็กแผ่นฯปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาเหล็กแผ่นฯส่งออกไปต่างประเทศอยู่สูงกว่าขายในประเทศประมาณ 5-10% แม้ว่าความต้องการใช้เหล็กแผ่นฯในประเทศจะลดลงบ้าง แต่เราส่งออกได้ราคาดี เชื่อว่าทั้งปีจะมีผลกำไรระดับน่าพอใจ"
จากภาวะตลาดเหล็กที่ค่อนข้างตึงตัวในตลาดโลก ทำให้ราคาสแลปซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนปรับตัวขึ้นเช่นกัน ทำให้บริษัทฯมีกำไรจากสินค้าคงคลัง อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ บริษัทฯจะบริหารสินค้าคงคลังให้เหลือน้อยเพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยมีสินค้าคงคลัง(วัตถุดิบ)ไม่น้อยกว่า 3 เดือน สินค้าสำเร็จรูป 1-2 เดือน และมีการขายสินค้าล่วงหน้าไปแล้ว 2 เดือน
นายวิน กล่าวถึงกรณีที่SSIจะซื้อหุ้นบริษัท เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย จำกัด(มหาชน) จากเดิมที่ถืออยู่ 8.77%เป็น 40.14% คิดเป็นวงเงิน 3.5 พันล้านบาทว่า การตัดสินใจซื้อหุ้นบริษัทเหล็กแผ่นรีดเย็นไทย จะทำให้บริษัทเข้าสู่ตลาดเหล็กแผ่นคุณภาพสูง ซึ่งเหล็กแผ่นรีดเย็นไทยดำเนินธุรกิจมานาน 10ปี ทำให้มีฐานลูกค้าเหนียวแน่น ดังนั้นจึงเป็นประโยชน์ทางธุรกิจค่อนข้างมาก
ส่วนการนำบริษัทเหล็กแผ่นรีดเย็นไทยเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น เป็นเรื่องที่จะพิจารณาต่อไปในอนาคต สำหรับแหล่งเงินที่ใช้ในการซื้อหุ้นดังกล่าวจะมาจากการกู้ยืมธนาคารพาณิชย์ทั้งจำนวน ส่งผลให้อัตราหนี้สินต่อทุนของSSIเพิ่มขึ้นจาก 1.1 เท่าเป็น 1.24 เท่า ซึ่งถือเป็นระดับที่ฐานะการเงินยังแข็งแกร่งอยู่
นายวิน กล่าวถึงผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นว่า เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบต้องนำเข้าจากต่างประเทศคิดเป็น 80% เมื่อเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้ต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบลดลง แต่บริษัทฯมีการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศบางส่วน ทำให้รายได้ในรูปเงินบาทก็ลดลงไปด้วยเช่นกัน รวมทั้ง บริษัทฯได้มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อลดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน
ส่วนการลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) นั้น นายวิน กล่าวว่า ในระยะสั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท แม้ว่าจะมีรายการสินค้าเหล็กเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่กรอบระยะเวลาในการปรับลดภาษีนาน 10ปี โดยช่วง 1-8 ปีแรกไม่ต้องปรับลดภาษีนำเข้า พอเข้าสู่ปีที่ 9 จึงค่อยปรับลดลง 50% และปีที่ 10 ลดภาษีนำเข้าเหลือ 0% ทำให้สหวิริยาสตีลฯมีเวลาในการพัฒนาสินค้า และหาตลาดส่งออกเพิ่มเพื่อสร้างความมั่นคงด้านยอดขาย
นายวิน กล่าวถึงโครงการโรงถลุงเหล็กครบวงจรขนาด 30ล้านตัน มูลค่า 5แสนล้านบาทของเครือสหวิริยาว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของบีโอไอ หลังจากบริษัทได้ขอบีโอไอพิจารณาเพิ่มสิทธิประโยชน์เป็นแบบคลัสเตอร์ โดยให้สิทธิประโยชน์โครงการท่าเรือน้ำลึกให้เท่ากับโครงการโรงถลุงเหล็ก คือ ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8ปีและลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลง 50%เป็นเวลา 5ปีโดยไม่จำกัดวงเงิน
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะยื่นขอรับบัตรส่งเสริมการลงทุนใหม่อีกครั้ง หลังจากบัตรส่งเสริมเดิมหมดอายุลง เพราะต้องการให้บีโอไอพิจารณาเห็นชอบในเรื่องดังกล่าว
ด้านผลการดำเนินงานSSIประจำปี 2549 บริษัทมีรายได้รวม 3.59 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 3.64 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิ 2.69 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 1.54 พันล้านบาท
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|