ในการเขียนบันทึกนี้ผมจำเป็นต้องพาดพิงถึงคนจำนวนมากพอสมควรและในบรรดาผู้คนจำนวนนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่มีชื่อเสียงในวงการทั้งนั้น
การพาดพิงถ้าจะมีก็จะเป็นในด้านของความเกี่ยวพันระหว่างเรื่องซึ่งจะเป็นเรื่องราวในการบริหารมากกว่าเรื่องส่วนตัว
ในการอ้างอิงคำพูดนั้นก็จะเป็นการอ้างอิงที่ได้ใจความใกล้เคียงที่สุด มากกว่าการอ้างอิงประเภทคำต่อคำซึ่งจะทำไม่ได้อยู่แล้ว
ผมกลับมาประเทศไทย ในกลางปี 2517 หลังจากใช้ชีวิตเกือบ 11 ปีอยู่ต่างประเทศ
ปริญญาโททางประวัติศาสตร์ที่ได้มา ก็คงจะให้อะไรมากไปกว่า การเป็นครูบาอาจารย์ไม่ได้
ในวัยที่ยังไม่เต็ม 27 ดีนัก เมื่อ 9 ปีที่แล้ว พร้อมกับความคิดใหม่ๆ ที่ได้มาจากสหรัฐฯ
มันพอจะทำให้คนหนุ่มอย่างผมต้องร้อนในวิชาความรู้มาก
ปี 2517 ในขณะนั้นยังเป็นช่วงของระยะเวลาการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในลักษณะที่คนหนุ่มอย่างผมมองว่าดีขึ้น
เป็นครั้งแรกที่ผมเองมีความรู้สึกว่าสังคมไทยน่าจะมีช่องว่างและโอกาสที่จะให้คนหนุ่ม
นามสกุลที่ไม่มีใคร รู้จักและไม่มีฐานทางครอบครัวเข้ามาหนุนคงจะได้มีโอกาสสร้างชื่อเสียงขึ้นมาได้บ้าง
ผมกลับมาถึงบ้านยังไม่ครบอาทิตย์ก็ได้งานทำ คนที่ติดต่องานให้ผมคือพี่จุ๋มหรือบุตรสาวคนโตของคุณรัตน์
ศรีไกรวิน พี่จุ๋มเป็นพี่สาวของ เพื่อนนักเรียนเก่าสมัยมัธยมชื่อ วันนิวัติ
ศรีไกรวิน คนที่มาขึ้นปกหนังสือ HI CLASS ฉบับปฐมฤกษ์ที่วางไปเมื่อเดือนที่แล้ว
พี่จุ๋มส่งผมไปหา Tasman Smith ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้จัดการของบริษัทดีมาร์
ที่รับหาผู้บริหารให้บริษัทต่างๆ Tasman Smith ตอนนี้อยู่บริษัท ดีทแฮล์ม
ในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง Tasman ส่งผมไปให้วิทย์ ลอเรนซ์ ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทแอซโซซิเอทเต็ด
คอมมิวนิเคชั่น (ACC) อยู่ชั้น 7 ตึกภานุณี เป็นบริษัทโฆษณาคนไทยที่กำลังโตวันโตคืน
ทำโฆษณาให้สายการบินแอร์สยาม และสินค้าที่มีชื่อ เช่น เยลโล่ เพจเจส แอร์แคเรียร์
ฯลฯ
เพื่อนร่วมงานตอนนั้นก็มีสถิตพงษ์ ลีนาวัต สถิต กุมาร ปัจจุบันเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทโฆษณาแคมแพน
แบรี่ โอเวนส์ ปัจจุบันเป็นครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ของโอกิลวี่ แมทเธอร์ ด้วยเงินเดือนเริ่มต้นที่
8,500 บาท ผมถูกส่งให้ไปช่วยแอ๊ค หรือสถิตพงษ์ ลีนาวัต ในฐานะเป็น AE บริษัท
ACC เป็นบริษัทตัวอย่างแห่งหนึ่งซึ่งผมยังคงจำได้มาจนทุกวันนี้ของการสร้างบริษัทนี้ขึ้นมาโดยวิทย์
ลอเรนซ์
วิทย์ เล่าให้ผมฟังว่าเขาเริ่มบริษัทนี้จากห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งในตึกแถวๆ
สีลม มีคนทำงานอยู่ไม่กี่คน ตัวเขาเองทำทุกอย่างเป็นทั้งครีเอทีฟ ติดต่อลูกค้า
วางบิลและเก็บเงิน "ผมไปหาลูกค้าผมต้องนั่งรถเมล์ไปทุกที เพราะต้องประหยัดทุกอย่าง
"
การต่อสู้ของวิทย์ได้ผล เมื่อความเอาใจใส่ต่องานมากขึ้น ลูกค้าก็แนะนำกันต่อๆ
ไป ในที่สุดโชคของวิทย์ก็เข้ามาหาเมื่อสายการบินแอร์สยามได้ขยายงานอย่างใหญ่โตมโหฬาร
ต้องใช้งบโฆษณาร่วม 10 ล้าน ซึ่งเมื่อ 9-10 ปีที่แล้วก็ต้องถือว่าเป็นเงินขนาด
20 ล้านของวันนี้
"ผมได้แอร์สยามมาเพราะเมื่อเขาเล็กๆ ผมบริการเขาเต็มที่ พอเขาเติบโตขึ้นมา
คุณวีรชัยก็บอกผมว่าคุณลำบากกับผมมาตลอด ตอนนี้ผมกำลังเริ่มสบาย คุณก็ควรจะสบายด้วย
" วิทย์เล่าให้ฟัง
นี่ก็เป็นบทเรียนทางธุรกิจเหมือนกันสำหรับคนที่อยากเจริญเติบโต การเริ่มธุรกิจขนาดเล็กนั้นนอกจากการค่อยๆ
สร้างขึ้นมาแล้ว ผู้ประกอบการหรือเจ้าของก็ต้องมีไหวพริบปฏิภาณที่ดีพอสมควรที่จะเก็งได้ว่าในบรรดาลูกค้าที่ติดต่อด้วย
มีใครบ้างที่มีโอกาสโตได้จะได้โตกับเขาไปด้วยกัน
บริษัท ACC เกิดขึ้นมาได้ในขณะนั้นเพราะวิทย์เองมีความอดทนและทำงานหนักให้กับลูกค้าทุกระดับไม่ว่าเล็กหรือใหญ่
จังหวะพอดีพอเหมาะ ก็เลยโตขึ้นมา บทเรียนอันนี้ ก็น่าจะใช้กับบริษัทใหญ่ได้ว่าถ้าสนใจแต่ลูกค้าใหญ่
และละเลยลูกค้าเล็กแล้ว การสูญเสียโอกาสที่ดีในอนาคตก็ย่อมมีมากเป็นของธรรมดา
ผมอยู่กับ ACC ได้แค่ 3 เดือนก็ลาออก เหตุของการลาออกก็เพราะวิทย์ไม่สามารถจะหางานที่ท้าทายให้กับผมได้มากเกินไปกว่าการให้ผมเรียนรู้งานเฉยๆ
ซึ่งวิทย์เองก็บอกว่าเขามีโครงการอันหนึ่งที่จะให้ผมเข้าไปทำซึ่งต่อมาหลังจากที่ผมออกแล้ว
วิทย์ก็เริ่มบริษัทสื่อสารหรรษา ซึ่งออกหนังสือพิมพ์รายวันภาษาไทยและหนังสือผู้หญิงรายปักษ์ที่ชื่อ
"หญิง "
ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ของผู้บริหารซึ่งจะต้องหาวิธีเก็บรักษาคนหนุ่มไฟแรงเอาไว้
เพราะคนหนุ่มมักจะร้อนวิชา การให้เขาชกลมไปเรื่อยๆ เป็นการเปิดโอกาสให้เขาได้สำรวจโอกาสภายนอกที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นกว่างานข้างใน
และในที่สุดคนหนุ่มไม่มีความอดทนก็จะลาออกไปเลย
ถ้าผู้บริหารระดับสูงสามารถจะ Balance ความต้องการงานที่ท้าทายของคนหนุ่มกับการฝึกอบรมที่จำเป็นต้องมีอยู่ในสถานภาพที่กำลังพอดีแล้ว
ก็จะเป็นผลประโยชน์กับบริษัทนั้นในแง่ของทรัพยากรคน ในปลายปี 2517 แอ๊ค ลีนาวัต
ได้แนะนำให้ผมรู้จักคนหนุ่มที่มีความคิดดีและทันสมัยคนหนึ่งชื่อ ณรงค์ เกตุทัต
ซึ่งเป็นบุตรชายคุณสนั่น เกตุทัต อดีตปลัดและรัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลัง
ณรงค์มีน้องสาวคนหนึ่งชื่อ สมศรี ลัทธพิพัฒน์ ซึ่งเป็นภรรยาของดำรง ลัทธพิพัฒน์
อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันเป็นนักการเมืองสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอยู่ทุกวันนี้
ณรงค์เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยรายวัน หนังสือพิมพ์ที่เป็นขวัญใจของนิสิตและนักศึกษาในช่วงหลัง
14 ตุลาคม
ณรงค์ได้พาผมไปพบคุณดำรง ลัทธพิพัฒน์ ซึ่งขณะนั้นก็เตรียมตัวจะลงสมัครรับเลือกตั้งในต้นปี
2518 คุยกันถูกคอ คุณดำรงก็เลยชวนมาเป็น Campaign Manager ส่วนตัว ความร้อนวิชาที่เคยเห็นการหาเสียงในสหรัฐฯ
ถึง 2 ครั้งของประธานาธิบดี ประกอบกับได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวในระดับการเลือกตั้งระดับรัฐ
ซึ่งพ่อของเพื่อนสมัครแข่งขันเป็นวุฒิสมาชิก ทำให้ผมมีความกระสันต์อยากจะเข้าไปลองวิชากับเขาบ้าง
เพียงแต่ว่าเวทีเป็นเมืองไทย
ผมได้ถูกคุณดำรงดึงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์มากขึ้น จนกลายเป็นว่าต้องช่วยพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องการเลือกตั้งของกรุงเทพ
มหานครขณะนั้น
ประชาธิปัตย์ยุคนั้นเป็นยุคของการรวมหลายฝ่าย ซึ่งจะหาพรรคที่มี องค์ประกอบแบบเมื่อปี
2518 นั้น หาได้ค่อนข้างยาก เพราะมีตั้งแต่ศักดินา เช่น ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
เป็นหัวหน้า พิสิษฐ์ สนิทวงศ์ มีนายทุน เช่น บุญยิ่ง นันทาภิวัฒน์, ประมุท
บูรณศิริ, พิชัย รัตตกุล, เล็ก นานา, สมัคร เจียมบุรเศรษฐ, สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์
ฯลฯ มีนักวิชาการ ข้าราชการ เช่น สาวิตต์ โพธิวิหค, พิสิฎฐ์ ภัคเกษม, ดำรง
ลัทธพิพัฒน์ แม้แต่กฤษฎา อรุณวงศ์ ก็ถูกดึงตัวมาช่วยด้วยชั่วคราว มีนักการเมืองอาชีพฝ่ายก้าวหน้า
เช่น ชวน หลีกภัย (ในบรรยากาศการเมืองเวลานั้น ชวนกลับถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกล้าหลัง)
และสมัคร สุนทรเวช ซึ่งในขณะนั้น ยังไม่มีท่าทีว่าจะมีการแตกหักอันใด ธรรมนูญ
เทียนเงิน, สมบุญ ศิริธร และอีกมากที่ผมยังไม่มีเวลามานั่งนึกอีก
ปัญหาของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งก็คงจะเป็นปัญหาที่ต่อมาภายหลังทำให้พรรคนี้ต้องแตกแยกออกจากกันก็คือ
ปัญหาของการประนีประนอมจนเกินไปของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เพียงแค่ผมเข้าไปสัมผัสไม่ถึง
2 เดือน ก็เริ่มเห็นชัดแล้วถึงการแยกกลุ่มออกเป็นกลุ่มเหนือ กลุ่มใต้ กลุ่มอีสาน
แม้แต่กลุ่มกรุงเทพฯ เองก็ยังแยกออกอีกอย่างน้อย 3 กลุ่ม
ผมมีหน้าที่ทำการออกแบบโปสเตอร์หาเสียง ซึ่งครั้งนั้นจะต้องแบ่งเป็นเขต
โปสเตอร์ที่ออกมาเป็นโปสเตอร์ใหญ่ขนาดหน้าหนังสือพิมพ์คนออกแบบคือธงชัย หรือโต
ซึ่งปัจจุบันเป็นอาร์ตไดเร็กเตอร์อยู่บริษัทโอกิลวี่ คุณสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์
เป็นคนให้ใช้สีต่างๆ กันแล้วแต่เขต
ปีนั้นโปสเตอร์พรรคประชาธิปัตย์จึงเป็นโปสเตอร์ที่เด่นที่สุดในบรรดาพรรคทั้งหลาย
นอกจากนั้นแล้วผมก็มีหน้าที่ brief คุณดำรงถึงปัญหาต่างๆ วิธีตอบคำถามและการพูดถึงปัญหาในการหาเสียงทุกๆ
ครั้ง
ผมสนุกกับงานเตรียมการเลือกตั้งได้ไม่นานก็ต้องเบนเข็มเปลี่ยนอาชีพอีกเพราะ
ณรงค์ เกตุทัต พอทราบว่าผมเคยเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ในมหาวิทยาลัยตอนผมเรียนต่างประเทศก็ชวนและขอร้องให้ผมเข้าไปเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย
ด้วยความร้อนวิชาเช่นเคย ผมคิดเอาเองง่ายๆ ว่างานนี้เราเคยทำมาก่อน คงจะไม่ยาก
การคิดเอาง่ายๆ นี้ทำเอาผมเลือดตาแทบกระเด็นไปทีเดียว
หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยเป็นองค์กรขนาดใหญ่อันแรกในชีวิตการทำงานของผมที่ได้กระโดดเข้าไปจับ
และงานชิ้นนี้ได้ให้บทเรียนแก่ผมมากหลายประการ
ผมเข้าไปในหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยอย่างชนิดหัวเดียวกระเทียมลีบ ผมเข้าไปพร้อมทั้งเป้าหมายที่ต่างกัน
3 ประการ
เป้าหมายแรก คือ เป้าหมายของเจ้าของหนังสือพิมพ์ซึ่งต้องการให้ผมเข้าไปกำจัดคนทำหนังสือที่เจ้าของคิดว่ามีหัวเอียงซ้าย
เพราะคุณสนั่นเป็นอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มีเพื่อนฝูงในวงการทหารและพลเรือนมาก
และขณะนั้นหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยเป็นสื่อมวลชนที่เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงในทุกๆ
ด้านอย่างมากที่สุด คุณสนั่นในฐานะเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์เพราะเป็นผู้ออกเงินก็ไม่ต้องการอะไรที่มันจะเปลี่ยนแปลงรวดเร็วนัก
แต่ก็ไม่สามารถจะไปสั่งลูกชายได้เพราะคุณณรงค์จะไม่ฟัง
เป้าหมายที่สอง คือ เป้าหมายของคุณณรงค์ซึ่งต้องการจะใช้เวลาของตัวเองกับการจัดการเพื่อขยายหนังสือพิมพ์และต้องการจะปรับปรุงโครงสร้างเสียให้ดีขึ้นกว่าเก่า
ที่สำคัญที่สุด คุณณรงค์ได้พบคนที่คิดว่าจะเป็นกันชนระหว่างตัวเขากับกองบรรณาธิการและกับครอบครัวเขาแล้ว
เป้าหมายสุดท้าย คือ เป้าหมายของผมเองที่เข้าไปเพราะเห็นว่ามันเป็นงานท้าทาย
ผมทำผิดมากที่ผมไม่ได้ศึกษาปัญหาของหนังสือพิมพ์นี้ก่อนที่ผมจะกระโดดเข้าไป
ตัวผมนอกจากจะใหม่กับหนังสือพิมพ์ภาษาไทยแล้วแม้แต่กับประเทศไทยเอง ผมยังเพิ่งจะเริ่มเรียนรู้หลังจากที่จากไปถึง
10 ปี และนี่เป็นข้อเตือนใจของคนหนุ่มที่ต้องการความท้าทายทั้งหลายว่าควรจะดูตาม้าตาเรือเสียก่อนที่จะเข้าจับงานที่ท้าทาย
จริงอยู่งานที่ท้าทายจะมีแรงดึงดูดใจให้เราเข้าไปทำโดยไม่เกรงกลัวอะไร แต่การศึกษาดูก่อนจะให้ประโยชน์กับเราในด้านการรู้ซึ้งถึงปัญหาที่แท้จริงและเราก็สามารถจะตั้งเงื่อนไขเพิ่มเติมกับเจ้าของงานได้
ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับเราโดยตรงในที่สุด
ปัญหาของหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยในขณะนั้นแบ่งออกเป็น 3 ปัญหาหลักๆ
ปัญหาแรก คือ ปัญหาของเนื้อหา ซึ่งมีความรุนแรงก้าวร้าวและโยงไปถึงปัญหากองบรรณาธิการซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนหนุ่มที่เพิ่งจะจบมาจากมหาวิทยาลัย
จากการที่ขาดแกนนำของกองบรรณาธิการ ทำให้ลักษณะข่าวจะออกไปในอารมณ์ของผู้ทำข่าว
การพาดหัวข่าวหรือเนื้อข่าวจะเป็นเรื่องของการบรรยายความรู้สึกมากกว่าการนำเหตุการณ์มาเสนอว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น
จึงทำให้หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยยุคนั้นแลดูเหมือนกับว่าเป็นหนังสือซ้ายจัด
ประกอบกับบทบรรณาธิการในขณะนั้นไม่ได้มีแนวทางของหนังสือ นอกจากเป็นแนวทางส่วนตัวของผู้เขียนเอง
ทำให้บางครั้งบทบรรณาธิการหนังสือพิมพ์กับบทบรรณาธิการของวิทยุเสียงประชาชนของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมีลักษณะคล้ายๆ
กัน
ปัญหาที่สอง คือ ปัญหาการตลาดและโฆษณา หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยเริ่มต้นด้วยการเป็นหนังสือพิมพ์ตัวอย่างที่ปฏิวัติหนังสือพิมพ์เมืองไทย
ในยุคแรกนั้นการตลาดและการโฆษณาไม่มีระบบ บุคลากรในแผนกการตลาดและโฆษณาจึงเป็นบุคลากรที่พื้นฐานการศึกษาและประสบการณ์ขายอย่างมืออาชีพจริงๆ
ต่ำอยู่มาก เมื่อถึงจุดจะต้องขยายตัวจึงไม่สามารถจะพึ่งพาอาศัยบุคลากรเดิมได้
ปัญหาสุดท้าย คือ ปัญหาของเจ้าของ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ระบบการเงินและเงินทุนหมุนเวียนไม่ได้ถูกจัดให้มีระบบ
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการทำงานกันแบบวันต่อวัน ตลอดจนนโยบายของเจ้าของ ซึ่งมีสองฝ่าย
ฝ่ายแรกคือคุณสนั่น เกตุทัต และอีกฝ่ายหนึ่งคือคุณณรงค์ เกตุทัต มักจะขัดแย้งและไม่มีความคงเส้นคงวา
ปัญหาของกองบรรณาธิการ
ผมเข้าไปในฐานะหน้าใหม่ที่สุดในวงการ ไม่มีการยอมรับกันทันทีมีแต่การคุมเชิงกันไปคุมเชิงกันมา
พนักงานในกองบรรณาธิการเข้าใจว่าผมเป็นตัวแทนนายทุนและเมื่อทำงานไปได้สักพักถ้าผมเริ่มจะเรียกร้องบางสิ่งบางอย่าง
ให้กับเจ้าหน้าที่กอง บ.ก. เจ้าของจะพูดกันเองว่าผมทำไมไม่เข้าข้างนายทุน
ผมไม่สามารถจะทำงานในกองบรรณาธิการให้บรรลุเป้าหมายได้เต็มที่ตามที่ได้ตั้งใจไว้ด้วยเหตุผลหลายประการ
เช่น :-
...ผมอารมณ์อ่อนไหวไปกับเหตุการณ์และความเคลื่อนไหวของเหตุ การณ์ ก็เลยทำให้เป้าหมายที่วางไว้เฉไป
...คนเก่าในกองบรรณาธิการพยายามจะจ้องจับผิดว่าผมจะเข้าข้างนายทุนหรือไม่
ก็เลยทำให้การรื้อโครงสร้างบางประการที่ตั้งใจไว้ต้องระงับไป แทนที่จะเดินหน้าและทำงานตามโครงการที่วางเอาไว้
เนื่องจากปัญหาของ กองบรรณาธิการในขณะนั้นเป็นปัญหาของการตั้งป้อมกับนายทุนอยู่แล้วสาเหตุ
เพราะกองบรรณาธิการเรียกร้องสวัสดิการต่างๆ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง ฉะนั้นทุกคนก็จะยอมรับผมได้ถ้าผมสามารถจะจัดการนำสิ่งที่เขาเรียกร้องมาให้เขาได้
เช่น การจ่ายเงินเดือนให้ตรงเวลาค่าล่วงเวลาเบิกได้ไม่ช้าค่ารถไปทำข่าวสามารถจะเบิกได้ทันที
รวมทั้งสวัสดิการและอุปกรณ์บางประการ สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในขณะเดียวกันบทบาทที่ผมเข้าไปนั้น
เดิมทีก็ตั้งใจจะเป็นบทบาทของการนำทางของแนวหนังสือตลอดจนการปรับปรุงรูปเล่ม
ผมก็เลยต้องมาวนอยู่ในวังน้ำวนของปัญหาที่เจ้าของควรจะแก้ไขด้วยตัวเองมากกว่าที่จะใช้ผมเป็นกันชน
นี่คือข้อผิดพลาดประการสำคัญข้อหนึ่งที่ไม่สามารถจะทำงานให้บรรลุเป้าหมายได้เต็มที่
ปัญหาของตลาดและโฆษณา
ในการปรับปรุงการตลาดและโฆษณา คุณณรงค์ได้รับคุณเชสเตอร์ จอมิน คนจีนสัญชาติพม่าที่มาทำมาหากินอยู่เมืองไทยกับหนังสือพิมพ์บางกอก
โพสต์ ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายมารับตำแหน่งที่หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย
การรับคุณเชสเตอร์มาคือการจุดไฟขึ้นมาอีกกองหนึ่ง ซึ่งต่อมาภายหลังก็จะปะทุและเผาร่วมกับไฟกองอื่นทำให้ทุกอย่างต้องพังพินาศไป
แนวการทำงานของคุณเชสเตอร์เป็นแนวการทำงานที่ได้รับการฝึกจากฝรั่งมีระบบอย่างดีมาก
จะเปรียบก็เหมือนกับเอาผู้จัดการบริษัทเชลล์มาเป็นอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี
คุณเชสเตอร์พอเริ่มงานก็ใช้ระบบฝรั่งที่ต้องมีการทำรายงานการขายทุกวัน มีการจี้แบบติดตัว
มีการติดตามผลงาน ตลอดจนการตั้งเป้าหมายรายได้ รวมไปถึงการบีบบังคับทางจิตวิทยาเพื่อให้ขายตามเป้า
เมื่อมีระบบการทำอะไรหลายอย่างที่ง่ายก็เริ่มหมดไป ประกอบกับคนที่คุณเชสเตอร์เอาเข้ามาใหม่ก็ได้รับเงินเดือนแบบฝรั่ง
ซึ่งต่างกับเซลส์เก่าซึ่งได้ค่อนข้างต่ำ ก็เลยมีข้อขัดแย้งกันมากถึงกับมีเซลส์ที่ไม่พอใจคนหนึ่งเอาเก้าอี้ตีคุณเชสเตอร์เมื่อมีการขัดแย้งกัน
ในช่วงนั้นถ้าคุณณรงค์จะกล้าพอที่จะโละฝ่ายขายเก่าออกให้หมด และให้คุณเชสเตอร์ตั้งทีมขึ้นมาใหม่
บางทีปัญหาอาจจะไม่ลุกลามทีหลังก็ได้
คุณเชสเตอร์ก็เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ในภาวะคล้ายๆ กับผมจะต่างก็ตรงที่ว่าคุณเชสเตอร์จะมีปัญหาก็เฉพาะการขายเท่านั้น
แต่ผมจะต้องรับเละไปหมดตั้งแต่เรื่องเนื้อหา คนในกองบรรณาธิการ เจ้าของ ตลอดจนถึงโฆษณา
ขายไม่ได้ ก็จะตกมาที่เนื้อหาเพราะเป็นเนื้อหาของซ้ายจัดทำให้คนไม่ลงโฆษณา
ปัญหาเจ้าของและนายทุน
ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกคนในวงการธุรกิจต้องเจอและจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาให้ดี
หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยยุคหลัง 14 ตุลา เป็นหนังสือพิมพ์ยุคที่ความจริงแล้วมีจุดยืน
2 จุดยืน จุดยืนแรก คือ จุดยืนของคุณสนั่น เกตุทัต ซึ่งได้แรงหนุนมาจากคุณดำรง
ลัทธพิพัฒน์ และคุณสมศรี บุตรสาวที่เห็นว่าเมื่อเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์แล้วหนังสือพิมพ์ก็ควรจะ
serve เจ้าของ เช่นควรจะตีคุณสมัคร สุนทรเวช ทั้งนี้เพราะคุณสมัครเป็นผู้ขุดคุ้ยเรื่องซุงเถื่อน
ทำให้คุณสนั่นต้องโดนตั้งกรรมการสอบสวน และคุณสมัครก็เป็นศัตรูคู่แข่งคุณดำรงในพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้น
นอกจากนั้นแล้วหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยก็ควรจะออกมาต่อสู้แทนคุณสนั่นที่ถูกกล่าวหาในขณะนั้นอย่างเต็มที่
และต้องเป็นฐานทางการเมืองให้คุณดำรงด้วย
จุดยืนที่สอง คือ ของคุณณรงค์ เกตุทัต เป็นลูกชายคนเดียวของเจ้าของ และก็เป็นผู้สร้างหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยขึ้นมา
คุณณรงค์มีความคิดทางหนังสือพิมพ์ดีมาก แต่คุณณรงค์เป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองมากไปหน่อยและโลเล
คุณณรงค์จะไม่ค่อยถูกกับคุณพ่อและคุณแม่ ฉะนั้นทุกอย่างที่เจ้าของมาแนะนำให้ผมทำ
คุณณรงค์ก็จะสั่งมาว่าไม่ให้ทำตาม ในขณะเดียวกันถ้าฝ่ายโฆษณาบอกว่าโฆษณาขายไม่ได้
คุณณรงค์ก็จะมาบอกว่าหนังสือพิมพ์จะเป็นหนังสือพิมพ์คอมมิวนิสต์ไปแล้ว เพราะไม่มีใครกล้าลงโฆษณา
พอผมเริ่มปรับให้ลดข่าวนิสิตนักศึกษาลงไป ฝ่ายการตลาดบอกว่ายอดขายนักศึกษาลงไป
ฝ่ายการตลาดบอกว่ายอดขายนักศึกษาแถวธรรมศาสตร์ จุฬาฯ ตกเป็นพันๆ เล่ม คุณณรงค์ก็จะสั่งให้เอาข่าวนิสิตนักศึกษาขึ้นตามเดิม
และให้มีมากกว่าเก่าเพื่อดึงเอาที่สูญเสียไปคืนมาด้วย
เมื่อเกิดปัญหาขัดแย้งเช่นนี้เกิดขึ้น การวางแผนระยะสั้นและยาวก็ขาดการสนับสนุนในด้านการเงินและการให้อำนาจทำงาน
เพราะในขณะนั้นถ้าผมจะปรับปรุงหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยให้เป็นบางกอกโพสต์ภาษาไทยสำหรับคนชั้นปัญญาชน
ตลอดจนมีหน้าธุรกิจสัก 2 หน้า ก็ย่อมหมายถึงการที่เจ้าของต้องยอมสูญเสียตลาดส่วนนิสิตนักศึกษาไปอีกสักอย่างน้อย
1 ปี ถึงจะสามารถดึงกลุ่มใหม่เข้ามาแทนที่
ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้เพราะหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยขณะนั้นเป็นการอาศัยการขายวันต่อวันเพื่อเอาเงินเอาทองมาใช้จ่าย
การจะลงทุนเพื่อ reposition หนังสือพิมพ์ใหม่ การสนับสนุนทางการเงินก็ต้องดีพอสมควร
คุณสนั่นสามารถจะให้การสนับสนุนทางการเงินได้ แต่ก็ไม่ให้ ซึ่งผมก็เข้าใจเพราะว่าเมื่อเขาเห็นว่าพนักงานไม่สามารถจะทำหนังสือให้ออกมาในแบบที่เขาต้องการแล้ว
ทำไมตัวเขาเองจะต้องไปหนุนซึ่งก็เป็นสัจธรรมทั่วๆไป ไม่เฉพาะนายทุนเจ้าของหนังสือพิมพ์เท่านั้น
แต่ก็รวมไปถึงธุรกิจทุกอย่างด้วย คุณณรงค์เองก็ไม่ได้สนใจที่จะหา Financing
ทางด้านอื่น เพราะเขามีเหตุผลว่าเขาเกลียดธนาคาร ฉะนั้นเขาจะดิ้นรนของเขาอยู่เช่นนี้ตลอดไป
จนกระทั่งผมซึ่งไม่เคยรู้เรื่องทาง Finance เลย ตัดสินใจไปหาธนาคารแหลมทองที่ซอยอโศกจากการแนะนำของคุณบุญยิ่ง
นันทาภิวัฒน์ แต่ผมก็ทำอะไรมากไม่ได้ เมื่อธนาคารต้องการหลักทรัพย์ค้ำประกันซึ่งก็เป็นเรื่องที่ทราบว่าทั้งคุณณรงค์และคุณสนั่นไม่มีความปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น
ผมอยู่หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยได้หนึ่งปี เสียเวลามากกับความขัดแย้งภายในครอบครัวเพราะต้องมามัวเป็นกันชนกับกลุ่มคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
หนึ่งปีที่ผมอยู่หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยสอนผมหลายอย่างจนทุกวันนี้เช่นว่า
อิทธิพลหนังสือพิมพ์รายวันเป็นของจริง เมื่อตอนผมทำหนังสือพิมพ์อยู่ต่างประเทศ
ผมไม่คิดว่าบทบาทของนักหนังสือพิมพ์จะมีเกินไปกว่าผู้เข้าไปหาเหตุการณ์แล้วรายงานเหตุการณ์ให้กับผู้อ่าน
ให้เที่ยงธรรมที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผลประโยชน์สำหรับนักหนังสือพิมพ์ในสายตาของผมแล้ว
นอกจากเงินเดือนที่ได้รับก็ไม่น่าจะมีอะไรมากไปกว่านี้
แต่ผมก็ผิดถนัด ผมยังจำได้ว่าผมไม่เข้าใจเป็นอย่างมากที่สุด เมื่อนักข่าวบอกผมว่าไปอาบอบนวดที่ชวาลาก็จะได้ลด
50% เพียงแต่แสดงบัตรนักข่าว และผมยังทำอะไรที่คนหลายคนเขาหัวเราะในความโง่ของผม
ด้วยการส่งจดหมายไปให้ผู้จัดการชวาลาแล้วบอกว่าถ้านักข่าวประชาธิปไตยไปก็ขอให้คิดเต็มราคา
ในช่วงต้นปี 2518 หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยกำลังต่อสู้เรื่องเท็มโก้ ซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติที่มาได้สัมปทานผูกขาดการขุดดีบุกที่พังงาอย่างไม่ชอบธรรม
ผมยังจำได้ว่าวันแต่งงานของผม มีตัวแทนจากบริษัทบิลลิงตัน จำกัด ซึ่งอยู่ในเครือบริษัทเชลล์มาในงานแล้วเสนอให้ผมไปเที่ยวภูเก็ตและต่อไปสิงคโปร์
โดยจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ผมประหลาดใจว่าทำไมเขาต้องทำเช่นนี้ ผมยอมรับว่าโง่อย่างบริสุทธิ์จริงๆ
ในเรื่องนี้ แต่นั่นมันก็เก้าปีที่แล้ว
ผมจำได้ว่าถูก lobby หลายเรื่องทีเดียว แม้กระทั่งเรื่องการบินไทยทะเลาะกับแอร์สยาม
คุณปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ได้นัดให้ผมพบกัปตัน พร้อม ณ ถลาง ทานข้าวเที่ยงกัน
ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจคุณปีย์ ซึ่งเคยได้รับการสนับสนุนจากคุณวีรชัย วรรณึกกุล
แห่งแอร์สยาม และได้เงินทองมาทำหนังสือรายสัปดาห์ชื่อ ชีวิตมหาชน จู่ๆ ทำไมถึงกลายมาเป็นที่ปรึกษาของการบินไทยไป
และผมเพิ่งมารู้เรื่องตอนหลังว่าเป็นเพราะคุณวีรชัยเขาเลิกสนับสนุนหนังสือชีวิตมหาชน
คุณปีย์ มาลากุลฯ ก็มาอยู่เป็นกุนซือให้กับการบินไทย ป้อนข้อมูลแอร์สยามที่ตัวเองรู้เนื่องจากอยู่กับคุณวีรชัยมาก่อน
เพื่อให้การบินไทยสู้กับแอร์สยามในแง่ของการประชาสัมพันธ์ ซึ่งขณะนั้นต้องห้ำหั่นซึ่งกันและกัน
ภายหลังคุณปีย์ มาลากุลฯ ก็บอกว่าจะส่งบทความแนวความคิดที่ว่าประเทศควรมีสายการบินสายเดียว
นั่นคือการบินไทยมาเพื่อให้ลงเรื่อยๆ และผมก็รู้สึกว่าตำแหน่งที่ปรึกษาการบินไทยของคุณปีย์ตำแหน่งนี้มีสิทธิ์ในการได้ตั๋วบินโดยไม่ต้องเสียเงิน
แต่ก็ไม่ทราบว่าได้เงินเดือนด้วยหรือเปล่า?
การบริหารกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์รายวัน นักหนังสือพิมพ์เป็นชนกลุ่มหนึ่งที่ลักษณะของงานจะทำให้ผู้ทำงานในสาขาอาชีพนี้เป็นผู้ที่
sensitive ต่อเรื่องราวต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในกองบรรณาธิการ ในขณะที่องค์กรอื่นอาจจะให้ซองขาวพนักงานคนใดคนหนึ่งออกได้ง่ายๆ
โดยไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ แต่สำหรับหน่วยงานที่เป็นหนังสือพิมพ์แล้วเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อนและต้องทำกันอย่างมีขั้นตอนที่จะต้องแสดงความเป็นประชาธิปไตยพอสมควร
ที่ผมพูดนี่จะหมายถึงหนังสือพิมพ์ที่ไม่ใช่หนังสือพิมพ์ตลาด การที่ต้องยุ่งเกี่ยวกับข่าวและต้องเก็งเหตุการณ์ได้ล่วงหน้า
ทำให้นักหนังสือพิมพ์มักจะรู้ทันทีว่าฝ่ายบริหารต้องการอะไร
และนี่คือข้อผิดพลาดของฝ่ายบริหารของหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยที่ละเลยไม่ได้เอากองบรรณาธิการมามีส่วนร่วมในการตัดสินใจปัญหาหลักต่างๆ
ส่วนใหญ่แล้วจะคุยกันเพียง 3-4 คน แล้วออกมาเป็นประกาศให้ทำตาม ซึ่งจะได้รับการต่อต้านอย่างเงียบๆ
การตั้งความคิดว่านักหนังสือพิมพ์กลัวตกงาน ในสมัยนั้นเป็นการตั้งสมมติฐานที่ผิดเพราะอาชีพหนังสือพิมพ์เป็นอาชีพที่ต้องกัดก้อนเกลืออยู่แล้ว
คนที่เข้ามาในวงการนี้มักจะเลือกเดินมาเองเพราะใจชอบ ฉะนั้นหากมีอะไรที่ตัวเองไม่พอใจแล้ว
การลาออกเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งถ้าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรมแล้วการยกทีมออกทั้งทีมก็มักจะมีให้เห็นอยู่เสมอๆ
ไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าการใช้ความจริงใจในการบริหารงานหนังสือพิมพ์และผู้บริหารเองก็ต้องมีคุณสมบัติที่รักความเป็นธรรมในสังคมและมีความยุติธรรมด้วย
ถึงจะสามารถทำให้เพื่อนร่วมงานมีความเคารพในตัวผู้บริหาร
ในขณะเดียวกันเจ้าของหรือนายทุนหนังสือควรที่จะรู้ว่าตัวเองต้องการให้หนังสือพิมพ์ของตัวเองออกมาในรูปแบบใดอย่างแจ่มชัด
แทนที่จะพูดแบบกำกวมว่า "ผมต้องการให้เป็นหนังสือที่ดีต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม
" หรือ "ทำไปในแนวที่ตลาดต้องการ " หรือ "ผมเชื่อมือคุณทำไปตามสบาย " เจ้าของที่ชอบพูดแบบนี้
ร้อยทั้งร้อยมักจะต้องมามีความขัดแย้งอย่างหนักกับคนทำหนังสืออย่างแน่นอน
คนทำหนังสือรู้ดีว่าเจ้าของต้องการหนังสือออกมาในรูปแบบใด แล้วคนทำหนังสือเองก็สามารถจะตัดสินใจว่าตัวเองต้องการนโยบายเช่นนี้หรือเปล่า
เจ้าของหนังสือพิมพ์โดยส่วนมากแล้วจะเป็นกลุ่มคนที่ต้องการโด่งดัง บางคนต้องการใช้หนังสือพิมพ์เป็นฐานอิทธิพลของตัวเอง
บางคนเข้ามาหนุนหนังสือพิมพ์เพราะตัวเองมีความชั่วร้ายมาก มีน้อยมากทีเดียวที่กระโดดเข้ามาทำหนังสือเพราะมีความเชื่อมั่นว่ากิจการหนังสือพิมพ์เป็นธุรกิจที่ดีและมีโอกาสเจริญเติบโตขึ้นมาได้
แต่ธุรกิจหนังสือพิมพ์เป็นธุรกิจที่ต้องใช้ความอดทนมากเป็นพิเศษ
ในยุคหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยที่ผมเข้าไปบริหารก็มีเพื่อนร่วมงานหลายคนที่ทุกวันนี้ก็ก้าวหน้าไปตามครรลองของตัวเองเช่น
จันทรา ชัยนาม เคยเขียนข่าวสังคมใช้นามปากกาว่า ขุนทอง และทำข่าวกรุงเทพมหานคร
หน้า 3 ปัจจุบันจันทราก็เป็นดาราภาพยนตร์ นักจัดรายการชื่อดังที่ทุกคนรู้จักดี
สุวัฒน์ ทองธนากุล เป็นหัวหน้าข่าวในประเทศ ทำหน้าหนึ่ง สุวัฒน์ทุกวันนี้เป็นบรรณาธิการนิตยสารธุรกิจการเงินการธนาคาร
ซึ่งสุวัฒน์เองได้เอาความคิดมาจากหนังสือเงินธุรกิจธนาคาร สมัยที่ผมเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทแอ็ดวานซ์มีเดีย
และได้เอาสุวัฒน์มาทำงานด้วย
นอกจากนั้นก็มีเช่น เธียรชัย ลาภานันต์ ซึ่งเป็นนักเขียนคอลัมน์ "นอกนคร
" และภายหลังเขียนคอลัมน์ "เทียนทอง " กระทุ้งฟ้า " ที่สำนวนสวิงสวายกันไปหมด
ปัจจุบันเธียรชัยนอกจากจะกำกับหนังแล้วก็ยังเป็นบรรณาธิการนิตยสารชีวิตกลางแจ้ง
อนุพันธ์ สินาคม ตอนนี้เป็นผู้จัดการประชาสัมพันธ์ธนาคารทหารไทย
ประสพสุข ภุชงค์เจริญ ตอนนี้เป็นบรรณาธิการบริหารนิตยสาร "อาหารภัตตาคารและโรงแรม
" เสถียร จันทิมาธร อยู่มติชน ไพบูลย์ สุข สุเมฆ อยู่เข็มทิศ และยังอีกหลายคนที่ไปศึกษาต่อต่างประเทศ
ในการทำงานหนังสือพิมพ์เป็นการทำงานเพื่ออุดมการณ์ ส่วนอุดมการณ์ของแต่ละคนจะเป็นซ้ายตกขอบ
ขวาตกขอบ หรือหัวก้าวหน้าก็ตาม เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล การแก้ปัญหาของสังคมในยุคนั้นสำหรับพวกนักหนังสือพิมพ์
โดยเฉพาะแนวทางหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยเป็นการแก้ปัญหาที่ค่อนข้างจะใจร้อนและรีบด่วน
อาจจะเป็นเพราะว่าความฟอนเฟะของสังคมมีมาก และพวกนี้จะรอไม่ได้ อีกประการหนึ่งความขัดแย้งในช่วงนั้น
ได้แสดงให้เห็นถึงจิตใจของคนไทยที่เพิ่งจะถูกเปิดมาพบเสรีภาพอย่างเต็มที่
พวกที่ถูกกดขี่มาตลอดก็เลยพุ่งพรวดขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ได้
ในขณะที่พวกที่เป็นอภิสิทธิ์ชนจะในระบบราชการหรือวงการธุรกิจ เมื่อเห็นการพุ่งขึ้นมาของแรงสนับสนุนเสรีภาพและประชาธิปไตยของสังคม
แทนที่จะทำความเข้าใจว่าเป็นวิวัฒนาการส่วนหนึ่งของสังคมนี้กลับไปเหมาเอาว่าทุกคนที่เรียกร้องเสรีภาพเป็นตัวบ่อนทำลาย
ความขัดแย้งลักษณะนี้มีให้เห็นอยู่เสมอ แม้กระทั่งในหมู่สื่อมวลชน ก็มีการแบ่งเป็นหนังสือพิมพ์ฝ่ายซ้ายและหนังสือพิมพ์ฝ่ายขวา
การไปทำข่าวระหว่างนักข่าวก็จะมีการแบ่งแยกกัน แม้แต่การพาดหัวข่าวหน้าหนึ่ง
ก็จะเห็นได้ชัดถึงแนวความคิดที่แตกต่างกัน เช่น กรณีของการ สไตรค์ หนังสือพิมพ์เช่น
ประชาธิปไตยก็จะพาดหัวข่าวว่า "นายทุนจ้างอันธพาลถล่มคนงาน " ในขณะที่หนังสือพิมพ์เช่นดาวสยามก็จะพาดว่า
"คนงานยื่นคำขาดจะเผาโรงงานถ้าไม่ตกลง "
ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาของการเป็นมืออาชีพ (Professional) ในสาขางานหนังสือพิมพ์ที่สังคมยังขาดอยู่มาก
ผมยังจำได้ว่าวันที่กระทิงแดงจะบุกเข้าไปเผาธรรมศาสตร์ เพราะมีการปล่อยข่าวว่า
ธรรมศาสตร์ซ่องสุมผู้คน และอาวุธไว้จากการพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ฝ่ายขวา
และการเขียนแนะของคอลัมนิสต์ ผมได้เข้าไปเตร็ดเตร่ข้างในธรรมศาสตร์เพื่อดูเหตุการณ์
มีนักข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศ 2-3 คนเข้าไปร่วมด้วย พอใกล้เวลาที่เราจะออกเพราะเป็นเวลาที่กระทิงแดงประกาศว่าจะบุกเข้ามา
ทุกคนพากันหลบออกยกเว้นผม
ที่อยู่ต่อไม่ใช่เพราะความกล้าหรอก แต่เป็นเพราะอยากจะรู้ว่าเขาจะค้นพบอาวุธจริงหรือเปล่า
ความจริงก็กลัวมากเพราะธรรมศาสตร์เวลานั้นว่างไปหมด มีแต่สุนัขวิ่งเล่นอยู่
2-3 ตัว สนามฟุตบอลซึ่งเคยมีภาพของนักศึกษาซ้อมรักบี้ ฟุตบอล หรือนั่งเล่นข้างสนาม
ว่างเปล่า ทางเข้าหอประชุมธรรมศาสตร์ที่เคยคึกคักไปด้วยคนหนุ่มสาวอนาคตของชาติที่เข้ามาเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ
มีแต่เสาหินที่ค้ำหอประชุม ทางรถขึ้นลาดซีเมนต์ ไม่มีรองเท้าย่ำมีแต่เวลาที่ผ่านไป
ผมยืนอยู่ข้างหอประชุมเล็กกำลังจับตามองพวกกระทิงแดงที่ดาหน้าเข้ามา ผมยืนอยู่อย่างสงบได้ไม่นานก็ต้องกระโดดหลบเข้าข้างเสาเพราะกระทิงแดง
2-3 คนยิงเข้าใส่ตรงที่ยืนอยู่ สักพักก็มีระเบิดพลาสติกขว้างตามเข้ามาเป็นกระพรวน
ผมตกใจมากเพราะเกิดมายังไม่เคยมีใครยิงใส่ รีบวิ่งไปทางด้านหลังตึกนิติศาสตร์ที่มีรั้วติดกับพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ
ก็พอดีฝูงกระทิงปีนรั้วธรรมศาสตร์เข้ามาแล้วกระจัดกระจายไปตามอาคารต่างๆ
มีกระทิงหลายคนเห็นผม เผอิญผมสะพายกล้องด้วย กระทิงหนุ่มคนหนึ่งถามว่าผมมาจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งซึ่งในช่วงนั้นเป็นฝ่ายเชียร์กระทิงแดงใช่ไหม?
ผมก็บอกว่าใช่ กระทิงหนุ่มคนนั้นก็เลยบอกว่า "พี่คอยดูนะ เผามันได้ผมจะเผามัน
ไอ้มหาวิทยาลัยคอมมิวนิสต์ " ผมจำได้ว่าผมสะอึกและเจ็บช้ำน้ำใจมากที่ได้ยินเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
ซึ่งก็เป็นอนาคตของชาติเหมือนกับเด็กหนุ่มที่เรียนอยู่ธรรมศาสตร์แต่สองเด็กหนุ่มกำลังถูกเสี้ยมเขาให้ชนกัน
วันนั้นด้วยตัวผมเอง ผมก็ได้เห็นการทำลายทรัพย์สินของชาติที่มาจากภาษีอากรของประชาชนกันอย่างมันมือ
สรุปแล้วก็คือการเข้าไปทุบกระจก ทำลายสิ่งของ มิใช่การเข้าไปค้นว่ามีอาวุธซ่องสุมอยู่หรือเปล่า
และวันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยก็ได้ตีพิมพ์ภาพเหตุการณ์การทำลายธรรมศาสตร์ลงหน้าหนึ่งอย่างไม่เกรงกลัว
บทเรียนนี้สอนให้ผมระลึกอยู่เสมอแม้แต่วันนี้ว่า ถ้าสังคมใดมีสื่อมวลชนที่รายงานเท็จให้กับสังคมแล้ว
ในที่สุดเราจะมีชีวิตอยู่ในภาวะของการโกหกหลอกลวง การตัดสินใจของสังคมก็จะเป็นการตัดสินใจที่ผิด
และในที่สุดแล้ววันใดที่สมาชิกสังคมจับโกหกผู้ปกครองได้ก็ย่อมหมายถึงการล่มสลายของโครงสร้างสังคมนั้นอย่างย่อยยับ
มันจะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ เพียงแต่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไรเท่านั้นเอง
ความจริงแล้วในเวลาหนึ่งปีที่ผมอยู่บริหารหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ผมได้พบปะเหตุการณ์ที่พลิกคำสอนทางรัฐศาสตร์
ทางศีลธรรม ตลอดจนคำแถลงของรัฐบาลจากหน้ามือเป็นหลังมืออีกมาก
ผมเคยลงไปนั่งคุยกับท่านผู้ว่าฯ ธวัช มกรพงษ์ สมัยที่ยังเป็นผู้ว่าฯ อยู่พังงา
คุยกันบนโต๊ะกินข้าวในห้องเงียบๆ มีไฟหรี่และมีปืนกลวางบนโต๊ะกินข้าวด้วย
เพราะท่านผู้ว่าฯ บอกว่ากรณีเท็มโก้ในขณะนั้นมีคนพยายามฆ่าท่านผู้ว่าฯ และคนพวกนั้นก็เป็นพวกในเครื่องแบบ
ผมเคยถูกคุณสนั่น เกตุทัต พาไปพบพลตรีสุดสาย หัสดิน ที่บ้านพักแถวเกียกกาย
เพราะคุณสนั่นเป็นห่วงว่าคุณสุดสายจะเอากระทิงแดงมาถล่มโรงพิมพ์ประชาธิปไตย
ถ้าหนังสือพิมพ์ยังขืนต่อต้านกระทิงแดงอยู่ และในบ้านคุณสุดสายก็ได้เห็นทหารและตำรวจยศนายพันวิ่งเข้าวิ่งออกตลอดเวลา
แสดงให้เห็นถึงขอบข่ายอำนาจของผู้ปกครองที่แท้จริงที่สามารถสร้างอิทธิพลมืดขึ้นมาเองได้
ผมเคยบอกนักเขียนของหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยคนหนึ่งหยุดเขียน เพราะเจ้าของเขาไม่ต้องการให้คนคนนี้เขียน
และนักเขียนคนนี้บอกผมว่า เขารักหนังสือพิมพ์ฉบับนี้มาก และยินดีเขียนให้ฟรีโดยไม่คิดเงิน
ผมเองยังขอบคุณน้ำใจเขา แต่ภายหลังผมมารู้ว่าตัวเขาเองเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ผมรู้จากปากของคนที่ออกมาจากป่า!
และก็ยังมีอีกมาก!
หนึ่งปีในช่วงนั้นสอนให้ผมเข้าใจคำว่า "ความจริง " เสียใหม่
"ความจริง " ที่ผมได้เรียนรู้นั้นคือสิ่งที่ไม่ได้หยุดนิ่ง มันเคลื่อนไหวอยู่เสมอ
"ความจริง " ในวันที่ 6 ตุลาคม 2518 ในการเสนอของรัฐบาลอาจจะเป็น "ความเท็จ
" ใน 20 ปีข้างหน้า เมื่อลูกผมโตเป็นหนุ่ม เพราะทุกๆ "ความจริง " ที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ล้วนแล้วแต่มีกลไกอยู่ข้างหลังทั้งสิ้น
ถ้ากลไกนั้นยังมีอำนาจอยู่ "ความจริง " อันนั้น ก็จะเป็น "ความจริง " ตราบเท่าอายุของอำนาจกลไกนั้น
นอกจาก "ความจริง " ที่ผมได้เรียนรู้แล้วก็ยังมี "ความถูกต้อง " อีกประการหนึ่งที่ผมได้รู้ซึ้งถึงสัจธรรมของมัน
เพราะ "ความถูกต้อง " ของผู้มีอำนาจคือ "ความถูกต้อง " สุดท้ายที่เกิดขึ้นมาจากพื้นฐานของ
"ความจริง " ที่ถูกกลไกสร้างขึ้นมา และ "ความไม่ถูกต้อง " สำหรับคนบางคนพอมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวและตัวเองได้ผลประโยชน์นั้นก็จะกลายเป็น
"ความถูกต้อง " ขึ้นมาทันที
ตัวอย่างพวกนี้เราจะเห็นอยู่ดาษดื่นไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงชั่วลูกชั่วหลานหรอก
เอาเพียงแค่ 10 ปีที่ผ่านมานี้ก็พอ จะเห็นได้มากมายตั้งแต่จอมพลประภาส และถนอมที่ถูกขับออกจากประเทศเมื่อสิบปีที่แล้ว
กับสถานภาพทุกวันนี้ ไปจนถึงเจ้าของกิจการใหญ่โตมโหฬาร หรือนักการเมืองที่ทุกคนชื่นชม
แต่บทบาทที่แท้จริงคือเจ้าของบ่อนการพนันและการค้าของเถื่อน หรือนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและบริจาคเพื่อสังคมสงเคราะห์
แต่เบื้องหลังแล้วจะโกงภาษีอากรของชาติอย่างมหาศาล และยังมีอีกแม้แต่คนที่ร่ำรวย
สังคมนับหน้าถือตา มีความรู้ความสามารถมีตำแหน่งทางการเมืองที่มักจะพร่ำกับทุกคนว่าตัวเองต้องการทำงานเพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน
เพื่อเกียรติประวัติของวงศ์ตระกูล แต่ลับหลังก็จะมีลูกน้องบริวารคอยตักตวงผลประโยชน์โดยใช้อำนาจบารมีของคนผู้นั้น
ผมลาออกจากหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยเมื่อ 15 ธันวาคม 2518 ในขณะที่ลูกชายคนเดียวอายุเพียงเดือนกว่าๆ
และปี 2519 คือปีที่ผมต้องเริ่มชีวิตด้วยลำแข้งของผมเองกับมันสมองและความสามารถที่มีอยู่
หมายเหตุ จากนิตยสารผู้จัดการ ฉบับที่ 2 เดือนกันยายน 2526