6 ข้อผิดพลาด บริหารรามาทาวเวอร์


บทความจาก อ่านวิกฤตเพื่อโอกาสใหม่. หนังสือเล่มโครงการ Manager Classic( ตุลาคม 2544)



กลับสู่หน้าหลัก

บริษัทรามาทาวเวอร์ถือว่าเป็นตัวอย่างปัญหาความล้มเหลวของบริษัทมหาชนรุ่นใหม่บริษัทแรกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หลังจากเข้า จดทะเบียนในปี 2518 เพียง 3 ปีตั้งแต่ปี 2521-2523 หุ้นรามา(RAMA) ถือว่าเป็นหุ้นโดดเด่นที่ปันผลกำไรได้ถึงหุ้นละ 5 บาท แต่ต่อมาปี 2524-2525 รามาทาวเวอร์ ประสบปัญหาล้มละลาย ต้องขายทรัพย์สินคือ โรงแรมรามา บนถนน สีลม ให้กับ สุระ จันทร์ศรีชวาลา และขายตึกดำ"อินเตอร์ไลฟ์"ให้กับสุพจน์ เดชสกุลธร เพื่อชดใช้หนี้

ในปี 2526 การสิ้นสุดอาณาจักรตึกดำของ สุธี นพคุณ เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกับจอร์จ ตัน ประธานกรรมการของบริษัทแคร์เรียนในฮ่องกงซึ่งถูกข้อหาตกแต่งบัญชี แต่ปัญหาของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ (บงล.)พัฒนาเงินทุน คือ ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง โดยไม่รู้ว่าเงินกว่า 1,400 ล้าน ซึ่งประกอบด้วย เงินจากธนาคาร เจ้าหนี้ 220 ล้านบาท กลุ่มสถาบันการเงิน 47แห่งอีก 540 ล้านบาท และเงินฝากประชาชนอีก 680 ล้านบาทหายไปไหน?

ปรากฏว่าเงินทั้งก้อนถูกปล่อยกู้ให้กับบริษัทในเครือเกือบ 1,000 ล้านบาท!!

การบริหารงานที่ผิดพลาดของสุธีและหลงเชื่อคำผู้ใหญ่บางคนเกินไป ทำให้ธุรกิจตึกดำล้มละลาย หลังจากที่สะสมปัญหาไว้สองปีก่อนวิกฤต

ประวัติเดิมพัฒนาเงินทุนเป็นบริษัทเงินทุนเฟเบอร์เมอร์ลิน ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มจางหมิงเทียน เจ้าของInternational Trust & Finance(หรือบริษัท ITF) ที่ร่วมกับกลุ่ม Haw Par ซึ่งมีจิม เรเปอร์ ลูกน้องจิม สเลเตอร์ อาชญากรเศรษฐกิจที่ถูกจำคุกในสิงคโปร์ร่วมด้วย

เมื่อจางหมิงเทียนขายทิ้งพัฒนาเงินทุน ธุรกิจได้เปลี่ยนไปอยู่ในมือของพร สิทธิอำนวยและสุธี นพคุณ ทำให้บริษัทในเครือพีเอสเอมีฐานเงินทุนอยู่ 2 แห่งคือที่ บริษัทเครดิตการพาณิชย์ (CCC) ซึ่งเบิกใช้ในอำนาจของพร ส่วนที่พัฒนาเงินทุน (EDP)เบิกภายใต้อำนาจอนุมัติของสุธี

สุธีได้ใช้บริษัทพัฒนาเงินทุนเป็นฐานการเงินตั้งแต่ธันวาคมปี2523 เพราะสุธีตั้งบริษัทใหม่หลายแห่ง ที่ขยายเพิ่มจากกิจการโรงแรมรามาทาวเวอร์ เช่น บริษัททรัพยากรรามา บริษัทผลิตภัณฑ์อาหารรามา บริษัทรามาทรานสปอร์ต บริษัทนานาวิศวกรรมที่รับเหมาสร้างโรงแรม บริษัทรามาโอคอนเนอร์ที่เดิมตั้งร่วมกับบริษัทก่อสร้างต่างประเทศ บริษัทเอสเอ็น อินเตอร์ เทรด(เอสเอ็นคือ Suti Nopakun) โดยการผ่านเงินกู้กับ 3-4 บริษัท เช่นบริษัท เซ็นจูเรียน บริษัทไว้ส์เค้านท์อินเตอร์เนชั่นแนลและบริษัท เอสเอ็นอินเตอร์เทรดด้วย

เงินของรามาทาวเวอร์ถูกนำไปใช้ในรูปตั๋วสัญญาใช้เงินถึง 600 กว่าล้านบาท ซึ่งเป็นเงินก้อนที่พัฒนาเงินทุนต้องรองรับเมื่อแยกกิจการออกจากกลุ่มรามาฯในปี 2525

สองปีก่อนล้มละลาย กลุ่มรามาฯต้องประสบปัญหาการเงินอย่างหนัก เพราะบริษัทใหม่ในเครือไม่มีกำไร "จิม สเต้นท์"ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินคนใหม่ที่แทนสุชาดา อิทธิจารุกุล ได้ขายบริษัทที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจหลักของรามาฯออกไป ซึ่งหมายถึงว่าสุธีโอนหนี้ไปให้รามาทาวเวอร์ ส่วนสินทรัพย์ไปอยู่กับบริษัทใหม่ที่สุธีตั้งขึ้นมารองรับ เพื่อดำเนินธุรกิจเอาเงินไปใช้คืนเงินให้รามาฯ และนี่คือที่มาของปัญหาพัฒนาเงินทุน

ตั้งแต่กุมภาพันธ์ถึงกรกฎาคม 2526 หายนะได้คืบคลานสู่ตึกดำ โดยเหตุของการบริหารงานผิดพลาดของพัฒนาเงินทุนที่ปล่อยกู้ธุรกิจในเครือสุธี เกิดการโจมตีซึ่งกันและกันในใบปลิว และเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างอนงค์ สุนทรเกียรติที่เก่งหาเงินฝากแต่ปิดตัวเองยามวิกฤต กับมืออาชีพอย่างสุรินทร์ เจริญชนาพร อดีตผู้จัดการสมาคมเงินทุนที่ทำงานได้เพียง 3 เดือน ก่อนวิกฤตตึกดำเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2526

ธุรกิจในเครือของสุธีที่เป็นหัวใจหลักถูกบังคับขายใช้หนี้ เช่น โรงแรมรามาทาวเวอร์ถูกเปลี่ยนมือไปอยู่กับสุระ จันทร์ศรีชวาลาซึ่งเมื่อต้นปี 2525 เคยให้สุธีกู้แก้วิกฤตสภาพคล่อง100 ล้านบาท ขณะที่บริษัทอินเตอร์ไลฟ์ตกเป็นของสุพจน์ เดชสกุลธร

ส่วนผู้บริหารระดับสูงที่ตึกดำอย่างวัฒนา ลัมพะสาระและจิตตเกษม แสงสิงแก้ว ซึ่งเคยมีบทบาทกู้เงินออฟเชอร์ 10 ล้านเหรียญโดยมีสินเอเซียค้ำประกัน ก็ลาออกไปทำงานธนาคารนครหลวงไทย ซึ่งมีบุญชู โรจนเสถียรเป็นประธานกรรมการธนาคารฯ

สุธีสูญสิ้นความน่าเชื่อถือ ตึกดำเหลือเพียงแต่บงล.พัฒนาเงินทุนที่ขาดสภาพคล่องรุนแรง จนล้มละลายในเดือนตุลาคม และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ บ้านและที่ดินไทยซึ่งต่อมาถูกแบงก์ชาตินำไปควบรวมกับเจริญกรุงไฟแนนซ์ และสินเพิ่มสุขแล้วเปลี่ยนฐานะเป็น บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บ้านและที่ดินไทยในที่สุด

โศกนาฏกรรมที่ตึกดำวันที่ 18 ตุลาคม 2526 จึงจบลงด้วยน้ำตาของสุธี นพคุณกับหนี้สินมูลค่า 2,000 ล้านบาท คือรามาทาวเวอร์พังไป 600 ล้าน พัฒนาเงินทุนอีก 1,400 ล้าน นับว่า เป็นน้ำตาราคาแพงที่สุดในโลก!!
บทสรุป 6 ข้อผิดพลาดในการบริหารรามาทาวเวอร์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรม โรงแรมที่ต้องพึ่งรายได้จากตลาดต่างประเทศประกอบด้วย

' หนึ่ง-การเลิกสัญญาบริหารกับเครือไฮแอท

เครือไฮแอทมีสัญญารับจ้างบริหารโรงแรมรามาตั้งแต่ปี 2515 ต่อจาก เครือฮิลตัน ในการบริหารช่วงต้นเครือไฮแอทได้เปรียบมากเกินไป จนกระทั่งปี 2519-20 กลุ่มพีเอสเอ โดย พร สิทธิอำนวยและอึ้ง วาย ชอย ผู้ช่วยพร ได้ขอแก้ไขสัญญาจนเป็นธรรมกับเจ้าของโรงแรม

เมื่อกลุ่มพีเอสเอเกิดแตกแยกกันในปี 2522 สุธี นพคุณ ในฐานะเป็นประธานและกรรมการผู้จัดการของบริษัทรามาทาวเวอร์ ไม่ขอต่อสัญญากับเครือไฮแอทต่อไป เพราะครบ10 ปีของสัญญาว่าจ้างในปี 2524

เหตุผลที่สุธีอ้างเหตุยุติความสัมพันธ์กับไฮแอทครั้งนั้น เพราะว่าเครือ ไฮแอทเสนอให้ใช้งบปรับปรุงโฉมใหม่โรงแรมระดับสี่ดาวถึง 70 ล้านบาท แต่สุธีเห็นว่ามากเกินควร และเสนอให้เครือโรงแรมรามาดาเข้าบริหารแทน โดยใช้เงิน 30 กว่าล้านปรับปรุง

การจากไปของเครือไฮแอทสร้างความสูญเสียแก่รามาทาวเวอร์มาก เพราะถ้าเปรียบเทียบศักยภาพการตลาดของเครือไฮแอทกับเครือรามาดาแล้ว ไฮแอท มีเครือข่ายโรงแรมระดับสี่ดาวที่แข็งแรงและกว้างไกลทั่วโลก ในขณะที่ตำแหน่งของเครือรามาดาเป็นเพียงแค่กลุ่มโรงเตี้ยม(INN)ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาและมือใหม่กว่าในตลาดต่างประเทศ

ส่วนงบปรับปรุง70 ล้านนั้น ไฮแอทเป็นฝ่ายถูกต้อง เพราะเมื่อทบทวนจะพบว่า สภาพโรงแรมที่เคยเป็นระดับสี่ดาวที่มีดุสิตธานีเป็นคู่แข่งบนถนนสีลม ได้ตกต่ำทรุดโทรมไปอยู่ระดับเดียวกับโรงแรมนารายณ์ ดังนั้นเมื่อกลุ่มสุระเข้ามาเทคโอเวอร์แล้ว ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 150 ล้านปรับปรุง ใหม่อีกเพื่อให้แข่งขันในตลาดได้

' สอง-ไม่ได้หยุดคิดว่า ตัวเองทำธุรกิจอะไรอยู่อย่างแท้จริง?

สุธีได้ขยายการลงทุนครบวงจรในธุรกิจบริการของโรงแรม เช่นบริษัท บริการรถเช่า"เอวิส" บริษัท"รามาลอนดรี้"บริการซักรีด และที่สำคัญได้ตั้งเครือข่ายบริษัท "ข้าวแกงรามา" ซึ่งเคยเป็นแผนกอาหารไทยของโรงแรมรามาฯ ให้กลายเป็นธุรกิจร้านข้าวแกงติดแอร์ จนหนังสือพิมพ์แซวสุธีว่าเป็นถึงประธานบริษัทจดทะเบียน 800 กว่าล้านบาท แต่มาเสิร์ฟข้าวแกงจานละสิบกว่าบาท

นอกจากนี้สุธียังตั้งบริษัท "รามาโอคอนเนอร์" รับเหมาก่อสร้างและวิศวกรรมที่ปรึกษาสำหรับโครงการก่อสร้างบริษัทในกลุ่มรามาฯ รวมทั้งยังถือหุ้นในบริษัทประกันชีวิตและประกันภัย อินเตอร์ไลฟ์ และถือหุ้นใหญ่ใน บงล.พัฒนาเงินทุน และลงทุนในบริษัท ทัวร์รอแยลแอนด์คาร์โก้ด้วย

ขณะที่สินทรัพย์มี 969,407,000 บาท ซึ่งอัตราส่วนนี้ รามาทาวเวอร์สามารถทำคอมเพล็กซ์ได้ไม่ยากเย็นตั้งแต่ปี 2524 แต่กลับขยายไปสู่ธุรกิจอื่นมากมายจนยากแก่การควบคุม

' สาม-การใช้แหล่งเงินทุนที่ต้องพึ่งบารมีคนอื่น

ปลายปี 2525 เมื่อบุญชู โรจนเสถียรได้พ้นจากธนาคารกรุงเทพ แม้จะมีตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอยู่ แต่สุดท้ายไม่มีตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ที่สุธีจะหวังพึ่งขอความช่วยเหลือได้ขณะนั้น

ดังนั้นเมื่อรามาทาวเวอร์ต้องหาแบงก์มาค้ำประกันเงินกู้จากแบงก์ต่างประเทศชื่อ "ดรอกเกอร์" ประมาณ 520 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าประมาณการที่ตั้งไว้เพียง 420 ล้าน เพื่อสร้างโรงแรมรามาการ์เด้นท์ ริมถนนวิภาวดีรังสิต แทนที่จะได้แบงก์กรุงเทพเป็นผู้ค้ำประกัน กลับกลายเป็นแบงก์กรุงไทย ซึ่งมี ตามใจ ขำภโตเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ขณะนั้น ตามใจเคยเป็นรมว.คลังปี2518 ภายใต้การผลักดันของบุญชู โรจนเสถียรและมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับกลุ่ม"สามสุ"(สุธี-สุระ-สุพจน์)

แต่ในที่สุดเมื่อกลุ่มรามาทาวเวอร์ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักในปลายปี 2525 และ 2526 แบงก์กรุงเทพได้ตัดเยื่อใยกับกลุ่มอย่างสิ้นเชิง

สรุปได้ว่า ปัญหาการบริหารของกลุ่มรามาทาวเวอร์ในอดีตนั้น ไม่ได้พิจารณาโดยใช้ความสามารถและความเป็นไปได้ของโครงการเป็นหลัก

' สี่-บุคลากรไม่มีคุณภาพและการขาดความเข้าใจแท้จริงในลักษณะงาน

เมื่อรามาทาวเวอร์แตกไลน์ขยายธุรกิจไปนับสิบบริษัทในปี 2522 ไม่ได้ มีการวางแผนด้านบุคลากรไว้ล่วงหน้า การจัดหาและซื้อตัวผู้บริหารในระยะนั้นเป็นไปอย่างรีบเร่ง

ผู้บริหารระดับกลางคนใหม่ขาดการฝึกอบรมและขาดความเข้าใจใน ลักษณะงานของตัวเองอย่างแท้จริง แต่ได้รับผลตอบแทนสูงและมีรถประจำตำแหน่งพร้อมคนขับ มีการโยกย้ายสถานที่จากตึกเก่าที่โรงแรมรามา ทาวเวอร์ มาอยู่ที่ตึกดำที่สง่าภูมิฐานแทน

บรรยากาศนี้ได้เอื้ออำนวยให้ผู้บริหารระดับกลาง เกิดวัฒนธรรม เหยียบกันตายเพื่อเลื่อนตำแหน่งอภิสิทธิชน แทนที่จะสร้างให้มีการทำงานแข่งขันท้าทายและพอใจในงานที่ทำอยู่ จนได้รับรางวัลเป็นผลงานที่ทำสำเร็จ
น่าสังเกตว่าในปี 2522-24 ปริมาณการเข้า-ออกของผู้บริหารบางระดับมีความถี่มากเป็นพิเศษ

' ห้า-ความแตกแยกภายในของผู้บริหาร

ปัญหาใหญ่ของรามาทาวเวอร์ในช่วงปี 2525 ถึงปี 2526 คือความขัดแย้งรุนแรงมากระหว่าง ผู้บริหารเครือบริษัทรามาทาวเวอร์กับผู้คุมถุงเงินอย่างบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ พัฒนาเงินทุน บริษัท อินเตอร์ไลฟ์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ บ้านและที่ดินไทย ถึงกับแบ่งพวกตีกันเป็นก๊กเป็นฝ่าย จนเป็นที่รู้กันในหมู่พนักงานระดับล่างว่าใครไม่ถูกกับใคร

ต้นตอของปัญหาขัดแย้งนี้ เริ่มจากสุธีจงใจจะให้บริษัทรามาทาวเวอร์ถือหุ้นในสถาบันการเงิน เช่น บริษัท อินเตอร์ไลฟ์ บงล.พัฒนาเงินทุนและบค.บ้านและที่ดินไทย เพื่อผันเงินฝากประชาชนมาปล่อยกู้ให้กับเครือบริษัทตัวเองอย่างไม่ผิดกฎหมาย แต่ก่อให้เกิดความสลับซับซ้อนของปัญหาการ บริหารการเงินของกลุ่ม
นี่คือข้อผิดพลาดที่สุธีไม่เตรียมแผนเตรียมงบการลงทุนและหมุนเวียนไว้ให้พร้อมก่อนขยายธุรกิจใหม่แต่ละโครงการ

เพราะธุรกิจใหม่ต้องใช้เวลาและเงินหมุนเวียนมากพอ กว่าจะยืนได้ด้วยตัวเอง ซึ่งขณะนั้นปี 2524/25 เศรษฐกิจไทยตกต่ำมาก ทำให้บริษัทในกลุ่ม ส่วนใหญ่ขาดทุน และถูกผู้บริหารฝ่ายคุมเงินเช่น อินเตอร์ไลฟ์และพัฒนาเงินทุนมองว่าไม่มีประสิทธิภาพ ขณะที่อีกฝ่ายแย้งว่าเบิกเงินได้ยากเย็น จนทำให้ แผนปฏิบัติการล่าช้าเสียหายไม่ได้ผล

ปัญหานี้รุนแรงถึงขั้นเลื่อยเก้าอี้กัน กลายเป็นความแตกแยกที่รอเพียงมี เข็มเข้ามาตอกลิ่มเพื่อให้หักเท่านั้นเอง
ความจริง ความขัดแย้งในการบริหารเป็นสิ่งจำเป็นที่ทำให้สามารถมองเห็นเป้าหมายได้ชัดเจนขึ้น แต่ความขัดแย้งไม่ใช่การแตกสามัคคีที่ทำลาย อาณาจักรได้

' หก-ความไม่ใส่ใจในความรู้รอบตัว
สิ่งจำเป็นสำหรับผู้บริหารระดับสูงที่สุธีขาดไป คือวิสัยทัศน์ที่หยั่งรอบรู้ การเมือง สังคมวิทยา เศรษฐกิจโลก ตลอดจนประวัติศาสตร์บางช่วงนอกเหนือจากความรู้ในธุรกิจตัวเอง

ถ้าผู้บริหารรามาทาวเวอร์จะสนใจเรื่องราวพวกนี้ ก็น่าจะเห็นสัญญาน เตือนภัย ตั้งแต่ปี 2522แล้วว่า ควรจะดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง ตัวอย่างเช่น

ด้านโรงแรม ตั้งแต่ปี 2522 บีโอไอหรือคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้อนุมัติโรงแรมใหญ่ 4 แห่ง ซึ่งจะกลายเป็นคู่แข่งสำคัญ

วิธีการที่ควรจะทำคือปรับปรุงโรงแรมตัวเองให้ได้มาตรฐานระดับสี่ดาว เพื่อรับสถานการณ์แข่งขันในปี 2526
อีกประการหนึ่งที่ควรจะทำคือ ไม่ควรเลิกสัญญากับเครือไฮแอท แม้จะไม่ชอบหน้า แต่อย่างน้อยศักยภาพทางการตลาดที่แข็งแกร่งของไฮแอทก็ช่วยธุรกิจโรงแรมได้มาก

นอกจากนี้ โครงการสร้างโรงแรมรามาการ์เด้นท์ควรยุติลง เพราะมีแต่จะเสีย เนื่องจากเสียเปรีย บคู่แข่งอย่างโรงแรมแอร์พอร์ตที่มีการบินไทยถือหุ้นอยู่ และกว่าจะคืนทุนที่ลงไปนับร้อยๆล้านก็กินเวลานานถึง 10 ปี ซึ่งจะเพิ่มภาระหนี้สินระยะยาว

ด้านการเงิน จะเห็นว่า กำไรของรามาทาวเวอร์ในช่วงปี 2521/22 ส่วนหนึ่งมาจากcapital gain ที่ได้จากราคาหุ้นที่พุ่งสูงมาก ขณะที่ตัวเลขผลประกอบการแท้จริงเพิ่งจะมีกำไรปรากฎ ในปี 2523 ยิ่งถ้ามีการปรับปรุงโรงแรม ให้ดีจะยิ่งทำให้กำไรเพิ่มขึ้นจนคืนเงินกู้ยืมใน 3 ปีได้ ซึ่งเวลานั้น โรงแรมรามา จะได้เปรียบคู่แข่ง เพราะไม่มีภาระหนี้สิน

แต่ในปี 2523 แนวโน้มเศรษฐกิจฝืดและกำลังซื้อกับการลงทุนจะตกต่ำมาก เพราะอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ กำลังพุ่งพรวด อัตราส่วนการลงทุนเริ่มน้อยลง อุตสาหกรรมก่อสร้างใกล้พังพินาศเพราะเงินกู้ ภาครัฐบาลตัดค่าใช้จ่ายและรัดเข็มขัด แต่สุธียังคงขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ โดยไม่นึกถึงผลกระทบของเศรษฐกิจตกต่ำนี้

ด้านการเมือง แม้ว่าบารมีทางการเงินและการเมืองของบุญชู โรจนเสถียร ได้เกื้อกูลอุปถัมภ์กลุ่มรามาทาวเวอร์ได้ แต่หลังจากบุญชูตกต่ำทางการเมือง ไม่ได้รับตำแหน่งอะไรในรัฐบาลเปรม 3 เพราะนโยบายผันเงินของบุญชูตรงข้ามกับนโยบายรัดเข็มขัดของสมหมาย ฮุนตระกูล

ความแตกต่างของนโยบายทั้งสองนี้ น่าจะทำให้ผู้บริหารรามาทาวเวอร์ ได้คิดว่า จะต้องมีแผนธุรกิจที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจไทยปี 2523/24 ที่ปรับ ตัวลงในทิศทางใด

ดังนั้นแนวทางแก้ไขที่"ผู้จัดการ"ได้เสนอขณะนั้นว่าน่าจะเป็น

1.ไม่ควรเลิกสัญญากับไฮแอท ควรจะปรับปรุงโรงแรมตามที่ไฮแอทเสนอมา เพื่อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ที่ไฮแอทจะมอบให้

2.หยุดการขยายงานทุกประเภท จนกว่าโรงแรมจะปรับปรุงเสร็จ

3.ควรจะทุ่มเททรัพยากรที่มีอยู่เพื่อพัฒนาที่ดินที่ว่างเปล่า เพื่อให้เกิดประโยชน์ โดยถือว่าเป็นการลงทุนระยะยาว แต่ต้องจำกัดการลงทุน

4.ไม่ควรเอาบริษัท รามาทาวเวอร์ เข้าไปเกี่ยวพันกับบริษัทในเครือ เพื่อจะได้เห็นการแบ่งสายงานและความรับผิดชอบได้เด่นชัด และไม่ก้าวก่ายหน้าที่กันและกัน

กรณีศึกษาของรามาทาวเวอร์ ถือว่าเป็นบริษัทมหาชนบริษัทแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ประสบปัญหาใหญ่มาก จนทำให้"สุธี นพคุณ"ต้องสิ้นชื่อในวงการธุรกิจ เพราะการบริหารงานที่ผิดพลาดในอดีต แต่จนถึงปัจจุบันคนแบบสุธีก็ยังมีอยู่ !!

หมายเหตุ จากเรื่อง"6 ข้อผิดพลาด ในการบริหารของรามาทาวเวอร์" ในนิตยสารผู้จัดการ ฉบับที่ 1 เดือนสิงหาคม 2526
จากเรื่อง"พัฒนาเงินทุน โศกนาฎกรรมฉากสุดท้ายของตึกดำ"ในนิตยสารผู้จัดการ ฉบับที่ 3 เดือนพฤศจิกายน 2526



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.