ในนามบัตร แมนซูร์ ซาคาเรีย ระบุตำแหน่งตัวเองว่าเป็น "ผู้พิมพ์โฆษณานิตยสาร"
แต่แท้จริงแล้วเขาให้สมญาตัวเองว่าเป็น นักล่าข้อมูลอันดับหนึ่ง ซึ่งโดยอาชีพของซาคาเรีย
วัย 37 ปี ชาวบอมเบย์ผู้นี้เป็นผู้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้บริโภคแล้วตีพิมพ์ออกมาขาย
นิตยสาร "แคลิฟอร์เนีย บิสสิเนส" ของเขามีสมาชิก ซึ่งเป็นผู้นำในวงการธุรกิจของแคลิฟอร์เนียกว่า
120,000 คน โดยมีเนื้อหาภายในที่สั้น กระชับตรงประเด็น ตัวโฆษณาก็เป็นสินค้าและบริการในตลาดบน
นอกจากนั้นในแต่ละฉบับยังมีการจัดทำโพลล์สำรวจประชามติผู้อ่านทางโทรสารในทุก
ๆ เรื่องเป็นต้นว่า การเมือง รสนิยมเรื่องรถ การใช้ชีวิตในวันหยุด หรือบรั่นดีที่โปรดปราน
ผลการสำรวจเหล่านี้จะถูกบันทึกลงในฐานข้อมูลการตลาด เพื่อขายให้กับเจ้าของสินค้าหรือเอเยนซี่ที่ต้องการข้อมูลสำหรับวางแผนการตลาด
สมมติว่า ธุรกิจสก็อตวิสกี้ที่ต้องการโฆษณาโดยผ่านไปรษณีย์คอมพิวเตอร์ของซาคาเรียก็สามารถให้บริการได้
โดยแยกแยะข้อมูลผู้ดื่มวิสกี้แต่ละประเภทออกมา ทำให้ผู้โฆษณาไม่ต้องเสียเวลา
และเสียค่าใช้จ่ายในการส่งเอกสารไปแบบสุ่มๆ ซึ่งบางคนที่ได้รับนั้นอาจจะไม่ดื่มเหล้าเลย
หรือธนาคารที่ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับผู้บริหารที่มีกิจการในเอเชีย ก็จะได้ข้อมูลที่ตรงความต้องการโดยไม่ต้องไปสนใจกับกลุ่มที่มีธุรกิจอยู่ในยุโรป
"ปัญหาในการจัดการกับข้อมูล ไม่ใช่เรื่องว่าจะมีหรือไม่มีข้อมูล แต่อยู่ที่การใช้ประโยชน์จากข้อมูลข้อมูลมีค่าพอ
ๆ กับการตัดสินใจและกำไร ซึ่งได้มาด้วยการใช้ข้อมูลนี้น" ซาคาเรียกล่าว
พ่อของซาคาเรียเป็นนักการเมืองและนักหนังสือพิมพ์ส่วนแม่เป็นบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์
"เดอะ ไทม์ ออฟ อินเดีย" วิกฤติการณ์ของโลกหรือข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์จึงเป็นหัวข้อสนทนาบนโต๊ะอาหารเย็นของครอบครัวนี้
เมื่อซาคาเรียอายุ 20 เขาได้อพยพไปยังแคลิฟอร์เนีย และทำงานเป็นนักวิเคราะห์การเงิน
ในสำนักงานประมวลผลข้อมูลของธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นงานชิ้นแรกที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์
"ผมรู้ดีว่าผมไม่ชอบการเงินมากเท่ากับชอบคอมพิวเตอร์" ซาคาเรียเล่าถึง
การตัดสินใจลาออกจากธนาคารเพื่อไปออกแบบระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์ให้กับ FOSTER
POULTY FARMS ซึ่งเป็นฟาร์มไก่ยักษ์ใหญ่ของอเมริกา หลังจากนั้น 2 ปี เขาได้ย้ายไปอยู่ที่ซานฟรานซิสโกเพื่อทำงานกับบริษัทที่ปรึกษาและหันมาเป็นนักการตลาดอิสระ
ก่อนหน้าที่จะไปร่วมทำงานกับบริษัทชาร์ลส ชว้าป
ชว้าปเป็นโบรกเกอร์ซื้อขายหุ้น ที่คิดค่านายหน้าจากนักลงทุนรายย่อยเพียง
20% ของค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์ซึ่งมีบริการครบวงจรเรียกเก็บกัน ชว้าปมีแผนการพัฒนาคู่มือแนะนำและวิจัยการลงทุนซึ่งนักลงทุนสามารถเรียนรู้
เพื่อตัดสินใจลงทุนได้ด้วยตัวเอง จึงจ้างซาคาเรียเข้าไปออกแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีวิธีการใช้อย่างง่าย
ๆ และมีราคาถูก รวมทั้งมอบหมายให้ซาคาเรียทำตลาดของโปรแกรมคู่มือการลงทุนด้วยตัวเองนี้ด้วย
โปรแกรมซึ่งมีชื่อว่า อีควอไลเซอร์ นี้ออกสู่ท้องตลาดในปี 1985 นักลงทุนรายย่อยสามารถใช้โปรแกรมนี้เชื่อมเข้ากับฐานข้อมูลเพื่อดึงข้อมูลการซื้อขายหุ้นแบบ
REAL TIME มาดูได้ ทั้งยังช่วยวิเคราะห์และสั่งซื้อขายหุ้นได้ โดยผ่านเครื่องพีซี
ชว้าปประสบความสำเร็จอย่างสูงจากอีควอไลเซอร์ สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาล
ในขณะเดียวกันมูลค่าการซื้อขายหุ้นที่ผ่านเข้ามาก็เพิ่มขึ้นเนื่องจากไม่ต้องจ้างโบรกเกอร์เพิ่มขึ้น
เพราะนักลงทุนสามารถสั่งซื้อขายได้ โดยตรงโดยผ่านโปรแกรมอีควอไลเซอร์ มีผู้ใช้โปรแกรมราคา
69 เหรียญนี้ 55,000 คน
ปี 1986 ซาคาเรียได้ลาออกจากชว้าป ขณะที่มีเงินเก็บอยู่ในธนาคาร 40,000
เหรียญ มีคอมพิวเตอร์ไอบีเอ็ม พีซี ราคา 5,000 เหรียญอยู่เครื่องหนึ่งและความฝันที่จะสรรสร้างธุรกิจของตนในชื่อ
MZ GROUP
จุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจเองเกิดขึ้นเมื่อซาคาเรียได้รับประทานอาหารเย็นกับเพื่อนนักข่าวหนังสือพิมพ์
ซานฟรานซิสโก ครอนิเคิล โดยนักข่าวคนนั้นได้พูดถึงความต้องการของครอนนิเคิลที่จะจัดอันดับธุรกิจท้องถิ่น
อาศัยที่ซาคาเรียมีฐานข้อมูลชื่อพาราดอกซ์
(PARADOX) ซึ่งเขาใช้ตอนที่ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ และก๊อปปี้ติดตัวมาชุดหนึ่งจึงเสนอตัวเป็นผู้วิเคราะห์
จัดอันดับให้ ปรากฏว่าฝ่ายบริหารของครอนนิเคิลรับข้อเสนอของเขา
ซอฟต์แวร์ของซาคาเรียทำการวิเคราะห์ แยกแยะข้อมูลดิบเกี่ยวกับผลดำเนินงานของบริษัทและออกมาเป็น
"ครอนิเคิล 100" ซึ่งเป็นการจัดอันดับธุรกิจท้องถิ่น จากยอดขาย
การเติบโต และผลตอบแทนจากการลงทุน จากความสำเร็จเบื้องต้นนี้เอง ซาคาเรียจึงเสนอแนวความคิดในการสำรวจและจัดอันดับธุรกิจแบบ
"ครอนิเคิล 100" นี้ต่อลอสแอนเจลิส ไทม์, เดอะ ไมอามี่ เฮอรัลด์
และหนังสือพิมพ์อื่น ๆ อีกหลายฉบับ ซึ่งต่างก็ให้ความสนใจและซื้องานสำรวจ
จัดอันดับของซาคาเรียมาจนถึงปัจจุบัน
"อันดับที่จัดขึ้นนี้จะเป็นประโยชน์ก็ต่อเมื่อข้อมูลมีความถูกต้อง
และกว้างขวาง" จิม วอลเตอร์ บรรณาธิการข่าวธุรกิจวันจันทร์ของไมอามี่
เฮอรัลด์ให้ความเห็น "ถ้าข้อมูลตกหล่นหายไป ก็อาจจะต้องเลิกล้มความพยายาม
แต่ว่าเราไม่เคยมีปัญหาแบบ MZ"
"MZ GROUP" ได้ตีพิมพ์หนังสือ "THE BEST COMPANIES IN NORTHERN
CALIFORNIA" ทั้งยังพัฒนาออกมาขายในรูปซอฟต์แวร์ คอมพิวเตอร์ใช้ชื่อว่า
"THE CALIFORNIA 500" และตามมาด้วย "FORTUNE 500 PROSPECTOR"
ซึ่งเป็นฐานข้อมูลการจัดอันดับ 500 บริษัทของนิตยสารฟอร์จูน ที่มีรายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนงบการเงินที่ละเอียดมากขึ้น
รายชื่อผู้บริหารพร้อมเบอร์โทรศัพท์ ฐานข้อมูลบริษัทซึ่งบรรจุอยู่ในแผ่นดิสก์นี้
ผู้ซื้อสามารถเติมข้อมูลล่าสุดเข้าไปได้ทุก ๆ ปี ซึ่งถือว่าผลิตภัณฑ์แบบนี้คือความใฝ่ฝันของนักการตลาดและเป็นสปริงบอร์ดสำหรับซาคาเรียเองด้วย
"ถ้าหากคุณไม่พัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ให้กับสิ่งที่ได้ทำมาแล้วเป็นเวลาหลาย
ๆ ปี คุณจะอยู่ไม่รอด" ซาคาเรียเตือน
ซาคาเรียเห็นว่าคอมพิวเตอร์จะช่วยจัดการข้อมูลตัวบุคคลได้อย่างถูกต้อง
แม่นยำเหมือน ๆ กับการจัดการข้อมูลบริษัท ดังนั้นเขาจึงขายธุรกิจซอฟท์แวร์ของเขาทิ้งในปี
1990 และหันไปหาธุรกิจสิ่งพิมพ์แทน โดยนักลงทุนที่ชื่อ โทนี่ ปริซเกอร์ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมไฮแอท
ได้ซื้อกิจการของนิตยสารแคลิฟอร์เนีย บิสสิเนส ซึ่งเป็นนิตยสารธุรกิจที่ใหญ่ที่สุด
แล้วนำเข้าไปอยู่ใน MZ GROUP โดยให้ซาคาเรียเป็นบรรณาธิการ ภาระกิจของเขาคือ
นำข้อมูลรายชื่อสมาชิกของนิตยสารเล่มนี้ มาวิเคราะห์แยกแยะ เพื่อพัฒนาฐานข้อมูลบุคคลที่มีรายละเอียดครบถ้วนมากที่สุด
เพื่อนำไปใช้ในทางการตลาด โดยที่จะต้องรักษาจำนวนสมาชิกหน้าโฆษณาและรายได้ของนิตยสารไม่ให้ตกไปจากเดิมด้วย
แม้ว่าจะอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้ลงโฆษณาและสมาชิกต่างก็ยังให้การสนับสนุนแคลฟอร์เนียบิสสิเนสอยู่อย่างแน่นหนาเหมือนเดิม
เนื่องจาก MZ GROUP ไม่ใช่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ จึงไม่มีการเปิดเผยตัวเลขทางการเงิน
ซาคาเรียบอกเพียงว่ารายได้ของกลุ่มเพิ่มขึ้นถึง 1,300 % นับตั้งแต่ปี 1986
"ผมเป็นคนที่พัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจสิ่งตีพิมพ์ และจะเป็นคนสุดท้ายของขบวนแถวยาวเหยียดพวกที่คิดโง่
ๆ ที่กำลังรอคิวเอาหัวเข้าไปวางพาดอยู่บนเครื่องกิโยติน ด้วยการเปิดเผยฐานะทางการเงินของกิจการ"