ธอมัสฯผุดดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งรับสื่อออนไลน์พุ่งรายได้โต30%


ผู้จัดการรายวัน(23 มีนาคม 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

สื่อออนไลน์รุ่ง เหตุเศรษฐกิจแย่ ผู้ประกอบการเล็งใช้กลยุทธ์ทางการตลาดผ่านสื่อออนไลน์เพิ่มขึ้น เบียดสื่อโทรทัศน์และวิทยุที่มีค่าใช้จ่ายแพง “ธอมัสไอเดีย” ผุดกลยุทธ์ ดิจิตอลมาร์เก็ตติ้ง หวังเรียกฐานลูกค้าหันมาใช้สื่อออนไลน์ขยับเพิ่มขึ้นอีก 5-10% จากเดิมที่มีอยู่ในมือกว่า 60 ราย มั่นใจผลักรายได้ปีนี้ขยับขึ้นอีกอย่างน้อย 20-30% ของ 40 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา

นางสาวอุไรพร ชลสิริรุ่งสกุล กรรมการผู้จัดการและที่ปรึกษาอาวุโส บริษัท ธอมัสไอเดีย จำกัด ดำเนินธุรกิจด้านการวางกลยุทธ์ธุรกิจออนไลน์ ออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ เปิดเผยว่า จากสภาพการแข่งขันธุรกิจที่รุนแรงมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พบว่าสื่อออนไลน์เป็นอีกหนึ่งสื่อที่บริษัทต่างๆหันมาใช้เพื่อการประชาสัมพันธ์และทำตลาดมากยิ่งขึ้น และถึงแม้ว่าในปีนี้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมจะชะลอตัวก็ตาม กลับมองว่าบริษัทต่างๆยังคงให้ความสำคัญกับสื่อออนไลน์เพิ่มขึ้น

เนื่องจากการที่แต่ละบริษัทหันมาลดงบประมาณด้านการตลาดลงนั้น จะต้องมองหาสื่อการตลาดในรูปแบบใหม่ที่คุ้มค่าคุ้มราคามากยิ่งขึ้น ซึ่งสื่อออนไลน์เองก็เป็นอีกหนึ่งสื่อที่บริษัทต่างๆให้ความสนใจ เพราะเมื่อเทียบกับสื่อโทรทัศน์และวิทยุในงบประมาณที่เท่ากัน สื่อออนไลน์สามารถใช้งานได้คุ้มกว่า และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง จึงมองสื่อออนไลน์กำลังจะมีบทบาทมากยิ่งขึ้นในอนาคต

“ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่มีหน่วยงานใดทำการสำรวจหามูลค่าของสื่อออนไลน์ว่ามีมูลค่าประมาณเท่าไรนั้น แต่มั่นใจอย่างหนึ่งว่า สื่อออนไลน์กำลังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เพราะบริษัทต่างๆเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับสื่อออนไลน์มากยิ่งขึ้น เนื่องจากการที่เป็นสื่อที่ใช้งบประมาณไม่สูงมากแล้ว ยังเป็นสื่อในรูปแบบใหม่ที่สามารถเข้าถึงไลฟ์สไตล์ของกลุ่มวัยรุ่นในปัจจุบันที่นิยมเล่นอินเทอร์เน็ต ซึ่งในอนาคตมองว่า กลุ่มวัยรุ่นนั้นจะเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักต่อไปที่มีฐานค่อนข้างใหญ่นั้นเอง ดังนั้นการปูฐานสร้างสื่อออนไลน์ดังกล่าวจึงน่าจะช่วยในเรื่องของการทำตลาดได้ง่ายขึ้นต่อไปในอนาคต”

ส่วนงบประมาณของการใช้สื่อออนไลน์ต่อหนึ่งบริษัทนั้น ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 7-10 ล้านบาท (ในรูปแบบของการจัดทำเว็บไซต์ของบริษัทนั้นๆเอง ไม่รวมการซื้อสื่อออนไลน์ผ่านเว็บไซต์อื่น) ซึ่งเมื่อเทียบกับสื่อโทรทัศน์และวิทยุแล้ว ถือว่าใช้งบได้น้อยมาก แต่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน และยังสามารถเป็นการสื่อสารทางการตลาดแบบทูเวย์คอมมูนิเคชั่นอีกด้วย ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบที่สื่อโทรทัศน์และวิทยุไม่สามารถทำได้

ดังนั้นล่าสุดจากการที่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจด้านการวางกลยุทธ์ธุรกิจออนไลน์ ออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ มองว่าในปี้นี้ น่าจะมีกลยุทธ์ทางการตลาดเพิ่มขึ้นอีก 1 อย่าง คือ ดิจิตอลมาร์เก็ตติ้ง สำหรับช่วยลูกค้าในการที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันของสื่อออนไลน์ที่มองว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้คาดว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยเพิ่มลูกค้าใหม่อีกอย่างน้อย 5-10% หรือประมาณ 5-10 บริษัท จากจำนวนลูกค้าที่มีอยู่แล้วกว่า 60 บริษัทจากปีที่ผ่านมา แบ่งได้เป็น เอกชน 85% หน่วยงานภาครัฐ 15% โดยในจำนวนบริษัททั้งหมดนั้น เป็นบริษัทต่างชาติประมาณ 10-20%

ขณะเดียวกันมองว่าน่าจะช่วยเพิ่มผลประกอบการในปีนี้ได้อย่างน้อย 20-30% จาก 40 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา จากการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในปีนี้ ที่แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ 1.การให้คำปรึกษาด้านการวางกลยุทธ์ออนไลน์ 30% 2.การออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์และเว็บแอพพลิเคชั่น 50% และ 3.บริการดิจิตอลมาร์เก็ตติ้ง 20% ซึ่งสัดส่วนรายได้ดังกล่าว มีการปรับขึ้นใหม่จากเดิมในปีที่ผ่านมา คือ 1.การให้คำปรึกษาด้านการวางกลยุทธ์ออนไลน์ 20% 2.การออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์และเว็บแอพพลิเคชั่น 70% และ 3.บริการดิจิตอลมาร์เก็ตติ้ง 10% นั้นเอง

โดยลูกค้าของบริษัทฯนั้น ที่ผ่านมาค่อนข้างหลากหลายไม่ว่าจะเป็น กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์, กลุ่มอาคารและวัสดุก่อสร้าง, กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค, กลุ่มการเงินการธนาคาร, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์, กลุ่มการสื่อสาร และหน่วยงานภาครัฐ เช่น สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ เป็นต้น

นางสาวอุไรพร กล่าวต่อว่า สำหรับแนวโน้มของกลุ่มบริษัทที่คาดว่าจะหันมาใช้สื่อออนไลน์มากยิ่งขึ้นในอนาคตนั้น ส่วนใหญ่น่าจะเป็นกลุ่มสินค้าสำหรับอุปโภคและบริโภค รวมไปถึงกลุ่มภาคอุตสาหกรรมด้านการส่งออกต่างๆ เป็นต้น


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.