"เอริค ชิน จีนข้ามรัฐ"

โดย Vyvyan Tenorio
นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2536)



กลับสู่หน้าหลัก

เอริค ชินเป็นคนไต้หวัน เขาเป็นเจ้าของโรงงานเฟอร์นิเจอร์ในเขตอุตสาหกรรมแบบที่เรียกกันในภาษาเม็กซิโกว่า MAQUILADORA ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเม็กซิโก

MAQUILADORA หมายถึง โรงงานอุตสาหกรรมประเภทประกอบชิ้นส่วน ที่ใช้แรงงานราคาถูกและเป็นของคนต่างชาติ โรงงานเหล่านี้ได้รับอนุญาตนำอุปกรณ์ วัตถุดิบ เข้ามาในเม็กซิโก โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า เพื่อผลิตหรือประกอบสินค้าส่งเข้าไปขายในสหรัฐฯ ภาษีที่จะต้องจ่ายให้กับรัฐบาลเม็กซิโก มีเพียงภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนของต้นทุนค่าแรงเท่านั้น คำว่า MAQUILA คือเงินรายได้ของเจ้าของโรงสีที่เก็บจากการสีข้าว ในช่วงที่เม็กซิโกตกเป็นเมืองขึ้นของสเปน

เถ้าแก่วัย 50 ปีจากไทเป ย้ายโรงงานเฟอร์นิเจอร์ไม้โอ๊กจากเมืองทัสติน ในเขตอุตสาหกรรมทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย มาอยู่ที่เมือง TECATE ในเม็กซิโก ซึ่งอยู่ห่างจากพรมแดนสหรัฐฯ - เม็กซิโกในเมืองซานดิเอโก ชั่วระยะเวลาขับรถเพียง 25 นาทีเพื่อหลีกเลี่ยง ความเข้มงวดของรัฐแคลิฟอร์เนียเกี่ยวกับมาตรฐานอากาศเสียที่เกิดจากโรงงาน และปัญหาข้อพิพาทกับสหภาพแรงงาน ที่เขาแพ้และต้องยอมจ่ายค่าแรงเพิ่มขึ้น

"ผมชอบงานที่ท้าทาย แต่ว่าลำบากมากที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างแตกต่างไปหมด ทั้งเรื่องภาษา วัฒนธรรม แต่ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องสร้างโรงงานขึ้นมาให้ได้" ชินกล่าว

ปัจจุบันโรงงานของชินผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้โอ๊กได้ถึง 1 ใน 3 ของทั้งหมดที่ขายอยู่ในอเมริกาโดยมีบริษัท วู้ด เท็กซเจอร์ อิงค์ เป็นผู้แทนจำหน่าย บริษัทนี้อยู่ที่นิวเจอร์ซี่ โดยชินร่วมกับเพื่อนชาวไต้หวัน ไมเคิลและโทมัส วู เข้าหุ้นกันตั้งขึ้นมา

วู้ด เท็กซเจอร์ ขายตู้วางโทรทัศน์และเครื่องเสียงสเตอริโอของอเมริกาให้กับร้านเฟอร์นิเจอร์ในอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก โดยเมื่อปีที่แล้วมียอดขาย 30 ล้านเหรียญ

ถึงแม้เม็กซิโกเริ่มจะเข้มงวดเรื่องกฎหมายสิ่งแวดล้อม ตามอย่างมาตรฐานของแคลิฟอร์เนียแต่ก็ยังขาดการควบคุมบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย โรงงานเล็ก ๆ เป็นพันๆ โรงที่ถูกปล่อยปละละเลยไม่มีการเข้าไปตรวจสอบ ประมาณกันว่า ปริมาณของเสียทั้งหมดจากโรงงานเหล่านี้ เพียง 25% เท่านั้น ที่ผ่านการบำบัดอย่างถูกต้อง

สำหรับโรงงานของชินนั้น เขากล่าวว่า มีมาตรการที่จะลดมลภาวะในอากาศให้น้อยที่สุดโดยใช้เครื่องมือที่ทันสมัย อย่างเช่นเครื่องกรองอากาศที่ติดตั้งในส่วนของการทาแลคเกอร์เฟอร์นิเจอร์

สิ่งที่ชินเป็นห่วงคือ ข้อตกลงนาฟต้าซึ่งจะมีผลต้นปีหน้า การยกเลิกสิทธิพิเศษทางภาษี จะเป็นการเพิ่มต้นทุนค่าแรงและการผลิตของเขาเป็นอย่างมาก ค่าจ้างโดยเฉลี่ยในเมือง TUSTIN จะตกประมาณ 300 เหรียญต่อสัปดาห์ ในขณะที่ค่าจ้างที่ TECATE จะตกประมาณ 50-60 เหรียญเท่านั้น คนงานในเม็กซิโกจะไม่ได้รับค่าล่วงเวลาตามมาตรฐานของสหรัฐ และไม่ได้รับสิทธิประโยชน์อื่นใดเหมือนที่กฎหมายสหรัฐกำหนดไว้ เมื่อเร็ว ๆ นี้ประธานาธิบดีของเม็กซิโก คาร์ลอส ซาลินาส เดอกอร์ตารี ก็ยังได้กำหนดเพดานจำกัดการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไว้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่ทำกับองค์กรของคนงานด้วย

แม้ว่าเงื่อนไขเหล่านี้จะเป็นข้อได้เปรียบที่ดีแต่การเริ่มต้นธุรกิจในเม็กซิโกก็เป็นเรื่องเหนื่อยแสนสาหัส ชินต้องตระเวนไปตามชนบทของเม็กซิโกเพื่อหาคนงาน จากที่ไม่มีเลยจนปัจจุบันเขามีคนงานอยู่ 50 คน "เป็นเวลา 4 เดือน ที่ทุกวันผมจะต้องออกจากโรงแรมที่พักตั้งแต่ตี 5 ขับรถบรรทุกไปที่ภูเขาทางใต้ของ TECATE เพื่อรับคนงานไปทำงานให้ทันเวลา 7 โมงเช้า เราทำงานล่วงเวลาถึงสามทุ่ม และเมื่อผมส่งคนกลับบ้านเสร็จ กว่าจะถึงโรงแรมก็เกือบเที่ยงคืน" ชินเล่าให้ฟัง

บ่อยครั้งที่ชินถูกตำรวจทางหลวงเรียกให้หยุดเพราะขับรถเร็ว "เขามักจะเรียกค่าปรับประมาณ 50 เปโซซึ่งผมจะต้องโต้เถียงกับเขาและจะให้ไม่เกิน 20 เปโซโดยบอกว่ามีอยู่เท่านี้" ชินพูดถึงพฤติกรรมตำรวจเม็กซิโก ต่อมาเขาได้พบกับนายกเทศมนตรีในงานสังคมแห่งหนึ่ง นายกเทศมนตรีแนะนำให้เขารู้จักกับหัวหน้าตำรวจท้องถิ่น "เมื่อพวกตำรวจรู้ว่าผมคือใครแล้ว พวกเขาก็ไม่มากวนผมอีกเลย" ชินกล่าว

การไปทำธุรกิจต่างบ้านต่างเมือง งานประชาสัมพันธ์สร้างภาพพจน์กับคนท้องถิ่น เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง "ผมได้บริจาคเงิน 1,000 เหรียญสหรัฐ ให้กับโรงเรียนและสถานเด็กกำพร้าทุกปีและผมก็ได้บริจาคเฟอร์นิเจอร์ให้กับหน่วยงานสิ่งแวดล้อมของท้องถิ่นอีกด้วย เราไม่มีทางปฏิเสธสำหรับคำขอพวกนี้"

แต่ปัญหาที่ท้าทายมากที่สุด คือวัฒนธรรมในการทำงาน ความตรงต่อเวลาของคนงานและแรงจูงใจในการทำงานเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งชินใช้แผนการตั้งโบนัสให้คนงานที่ทำงานเสร็จก่อนกำหนด และคนที่มาทำงานตรงเวลาอย่างต่อเนื่อง ภายในปีเดียวประสิทธิภาพของคนงานเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าตัว

อย่างไรก็ตาม เรื่องน่าปวดหัวก็ยังมีอยู่ อัตราการเข้าออกของพนักงานที่สูงถึง 12% ต่อเดือนเป็นเรื่องปกติของโรงงานแถบนี้ เพราะคนงานเม็กซิกันชอบข้ามพรมแดนไปรับจ้างในสหรัฐฯ มากกว่า เขาพยายามจะแก้ไขในเรื่องนี้ ด้วยการตอบสนองความต้องการส่วนตัวของคนงานเป็นครั้งคราว เช่นให้เงินกู้แก่พนักงานเป็นกรณีพิเศษ เข้าไปใกล้ชิดกับคนงานถึงในโรงงานบ้าง ชินเชื่อว่าการให้เกียรติและการเอาใจใส่กับคนงาน ทำให้คนงานมีความภักดีต่อองค์กร ซึ่งเห็นได้ชัดว่า เขาไม่ได้มีการรายงานว่าเครื่องมือหรืออุปกรณ์จะถูกขโมยหรือสูญหายอีกเลยหลังจากนั้น

การโยกย้ายธุรกิจไปทางใต้สู่เม็กซิโกของชินไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา CALIFORNIA BUSINESS INTELLIGENCE SERVICE ซึ่งอยู่ที่เมืองพาโล อัลโต้ ได้ทำการสำรวจพบว่า ธุรกิจในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ จำนวนมากกว่า 1 ใน 3 มีแผนที่จะขยับขยายหรือย้ายฐานธุรกิจในช่วง 2 ปีข้างหน้า และจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือเม็กซิโก เหตุผลหลักของผู้บริหาร 1,450 คน ซึ่งเป็นเป้าหมายการสำรวจนี้ก็คือ เพื่อลดต้นทุนการผลิต ชินเกิดที่ปักกิ่ง เขาอพยพไปอยู่ที่ไต้หวันในปี 1948 และได้ย้ายอีกครั้งไปอยู่ที่นิวเจอร์ซี่ก่อนหน้าจะไปปักหลักที่แคลิฟอร์เนีย ทุกวันนี้เขาเชื่อว่าได้พบสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิตที่ข้ามไปข้ามระหว่างพรมแดนแล้ว ตอนกลางวันเขาทำงานในเม็กซิโก ตอนกลางคืนกลับไปอยู่บ้านที่ชานเมืองซานดิเอโก แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือนิสัยในการทำงาน ชินกล่าวว่า "ผมยังคงทำงานอาทิตย์ละ 60 ชั่วโมงเช่นเดิมซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนจีน"



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.