"ป่อเต็กตึ๊ง-ร่วมกตัญญู : คู่บุญคู่แค้น"


นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2536)



กลับสู่หน้าหลัก

"เขาช่วยได้เยอะมาก แล้วทำจริงๆ ไม่ว่าตึกถล่มหรือไฟไหม้ แม้เขาจะมีหน้าที่หลักคือเก็บศพก็ตาม" แหล่งข่าวจากปอ.และกองตำรวจดับเพลิงต่างยอมรับถึงศักยภาพของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งและมูลนิธิร่วมกตัญญูในการกู้ภัยแต่ละครั้ง "แต่บางครั้งก็เป็นปัญหาตามมาทีหลังว่าของหาย"

สองมูลนิธินี้เป็นเหมือนนักบุญที่คอยชุบชีวิตผู้เคราะห์ร้ายในเหตุการณ์ต่างๆ เรียกว่าที่ไหนเดือนร้อน ก็ไปถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นการช่วงชิงความดีและผลงานเพื่อประกาศศักดิ์ศรีจนภาพนักบุญกลายเป็นภาพผู้ร้ายอยู่บ่อยๆ

เมื่อต่างฝ่ายต่างยึดและแย่งกันทำความดี เพราะเชื่อว่าการเก็บศพโดยเฉพาะศพไร้ญาตินั้น เป็นการนำวิญญาณผู้ตายไปสู่ที่เกิดใหม่ ซึ่งถือเป็นบุญอันยิ่งใหญ่ ขณะที่ทางมูลนิธิร่วมกตัญญูถือความคิดว่า การแข่งขันทำบุญย่อมจะดีกว่าการผูกขาด หลังจากที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งเกิดก่อนถึง 33 ปี

ถ้าเทียบกันแล้ว มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้เปรียบตรงความใหญ่โดยเริ่มก่อตั้งครั้งแรกเมื่อปี 2445 เน้นหนักงานบรรเทาสาธารณภัย โดยเฉพาะที่เป็นผู้ด้อยโอกาสและตกทุกข์ได้ยากเพื่อสานต่อเจตนารมย์ของหลวงปู่ไต้ฮง พระจีนที่อุทิศตนช่วยคนประสบภัยพิบัติในจีน

คนไทยที่นำโดยฮง เตชะวานิชกับคณะจากเมืองจีนอีก 11 คนจึงรวมกลุ่มกันในไทยเพื่อเผยแพร่กิจกรรมกุศลอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการแจกยา แจกอาหารตลอดจนถึงการเก็บศพอยู่ข้างวัดคณิกาผล กรุงเทพฯ

จนต่อมาเมื่อกรรมการเก่าตายกันไปมาก บรรดาลูกหลานของคนตาย ประกาศหนังสือพิมพ์ให้บรรดานายกสมาคมจีนในไทยเข้ามาช่วยเลือกคนที่มีคุณสมบัติเพื่ออุทิศตัวรับผอดชอบงานต่อไป พร้อมทั้งตั้งเป็นมูลนิธิในปี 2480 อันเป็นโครงสร้างที่จะช่วยกระจายการทำประโยชน์แก่สังคมให้กว้างขึ้น

จะเห็นว่ามีทั้งการสร้างโรงพยาบาลหัวเฉียวเพื่อรับผู้ป่วยทุกสาขา ตั้งสุสานวัดดอน วิทยาลัยหัวเฉียว รวมถึงโครงการมหาวิทยาลัยหัวเฉียวที่บางนา-ตราด

ขณะที่มูลนิธีร่วมกตัญญูเกิดขึ้นจากพ่อค้าขายกาแฟชาวจีนที่มีหัวใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ผู้ด้อยโอกาสกว่าในชุมชนแออัด ตรอกโรงหมู กล้วยน้ำไท โดยเฉพาะกับคนจนๆ ที่ตายแล้วไม่มีเงินซื้อโลงศพ สมเกียรติ สมสกุลรุ่งเรืองก็ซื้อให้ทุกราย

ต่อมา พอมีคนขอความช่วยเหลือมากเข้า เพราะเห็นว่าสมเกียรติใจบุญ ขณะที่เขาคิดว่าลำพังตัวเองและครอบครัวคงช่วยไม่ไหว ก็รวบรวมพรรคพวกจนได้โรจน์ โชติรุ่งเรืองหมอแผนโบราณย่านนั้นสมทบเป็นกำลังสำคัญ

โดยเฉพาะงานเก็บศพได้ขยายวงจรจากท่าเรือคลองเตยระเรื่องไปพระโขนง พระประแดง บางขุนเทียน ซึ่งแรกๆ จะทำในนามของ "ศาลหลวงปู่เปี่ยม" ศาลเจ้าพ่อละแวกนั้นที่มีผู้คนนับถือ จนมาตั้งเป็นมูลนิธิในปี 2513 เพื่อมุ่งงานเก็บศพโดยเฉพาะ ทำให้ 2 มูลนิธิเริ่มแข่งขันเพื่อเอาผลงานกันมากขึ้น

ยิ่งเกิดกรณีน้ำท่วมใหญ่ภาคใต้เมื่อปี 2517 มูลนิธิร่วมกตัญญูได้ขยายงานเพิ่มในส่วนงานแผนกช่วยเหลือผู้ประสบภัยและศูนย์วิทยุสื่อสาร รวมถึงงานการศึกษาเพื่อเด็กทั่วประเทศ ยิ่งทำให้มูลนิธิใหญ่อยากรวบมูลนิธิเล็กไว้ในอำนาจมากขึ้นเพื่อตัดคู่แข่ง แต่มูลนิธิร่วมกตัญญูประกาศชัดเจนว่าจะไม่ยอมอยู่ในอาณัติของใคร

เพราะเชื่อว่า การทำความดีก็ต้องแข่งขันและเสรี สังคมจึงจะได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น…!

เมื่อแข่งกันด้วยทิฐิความดี บุญก็กลายเป็นบาปไปโดยไม่ตั้งใจ จนเกิดภาพการช่วงชิงที่แต่ละฝ่ายจะต้องไปถึงที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะใครเก็บศพได้ก่อนก็ถือว่าเป็นผลงานที่จะอวดกับประชาชนว่าตนมีประสิทธิภาพกว่า

ระยะหลังจึงมีข่าวแย่งศพ ขับรถตัดหน้าโฉบเฉี่ยวเพื่อให้ได้ศพก่อนอยู่เนืองๆ ถึงขนาดที่ออกข่าวเกทับกันสุดขั้ว หากใครพลาดพลั้งเสียท่าเกิดไปเก็บศพใครแล้วของหายขึ้นมา

ด้วยทิฐิแห่งความเชื่อที่ผูกติดอย่างแน่นหนา จึงมีข่าวตามออกมาด้วยว่าทางมูลนิธิจ่ายค่าศพที่เก็บได้เป็นรายหัวเพื่อเป็นแรงจูงใจในการทำงานและโชว์ผลงาน แม้ทั้ง 2 มูลนิธิจะปฏิเสธกระแสข่าวอย่างหนักแน่นก็ตาม แต่มิอาจตัดความเชื่อในใจประชาชนได้อยู่ดี จนภายหลังเมื่อกระทบกันมากเข้า ยิ่งจะเสียภาพพจน์ทั้งคู่ จึงมีข้อตกลงว่าถ้าใครถึงก่อนก็ให้ฝ่ายนั้นดำเนินการ

ถ้าไปถึงพร้อมๆ กัน ก็ให้ตำรวจเป็นคนชี้ว่าใครควรจะเป็นคนเก็บศพ แต่อีกนั่นแหละ "มีการลอบบี้ตำรวจกันอีก" แหล่งข่าวที่รู้เรื่องมูลนิธิดีกล่าวถึงเบื้องหลัง

มูลนิธิทั้งสองซึ่งเคยเป็นเหมือนคู่บุญในสายตาประชาชนในหลายครั้งจึงกลายเป็นคู่แค้นไปด้วย…!

แต่เชื่อว่าถ้ามีการจัดระบบประสานงานและการสั่งการที่ดี มูลนิธิจะช่วยงานกู้ภัยได้อย่างแข็งขันทีเดียว



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.