ตลาดหุ้นไทยวอลุ่มรูดเหลือ1.2หมื่น/วัน


ผู้จัดการรายวัน(21 มีนาคม 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

ตลาดหุ้นไทยซึมยาว มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปีลดฮวบเหลือ 1.2 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนเฉลี่ยสูงกว่า 2.2 หมื่นล้านบาท เหตุการณ์เมืองไม่คลี่คลาย และไม่มีปัจจัยบวกเข้ามากระตุ้น ด้าน "วิจิตร" ย้ำหุ้นไทยถูก มั่นใจดัชนีสิ้นปีแตะ 750 จุด ขณะที่ "ภัทรียา" รับวอลุ่มไตรมาสแรกเฉลี่ยแค่ 9 พันล้านต่อวัน เหตุปัจจัยลบรุมเร้า หวังเฉลี่ยทั้งปีเข้าเป้า 1.6 หมื่นล้านบาท ส่วนนักวิเคราะห์ ทยอยปรับลดประมาณการคาดเฉลี่ยเหลือแค่วันละ 1.5 หมื่นล้านบาท

ดัชนีตลาดหุ้นไทย วานนี้ (20 มี.ค.50) มีการเคลื่อนไหวไม่มากนักทั้งในแดนลบและแดนบวก แต่ใกล้เคียงกับวันก่อน โดยมีแรงซื้อเข้ามาในกลุ่มพลังงาน รวมทั้งหุ้นของบริษัท ยูไนเต็ดคอมมูนิเกชั่น อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ UCOM ที่มีข่าวปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ ก่อนที่ดัชนีตลาดหุ้นจะปิดการซื้อขายที่ 671.76 จุด เพิ่มขึ้น 2.62 จุด หรือ 0.39% มูลค่าการซื้อขายรวม 7,901.83 ล้านบาท

โดยแรงซื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักลงทุนในประเทศที่ซื้อสุทธิ 394.45 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 331.98 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 62.47 ล้านบาท

จากการสำรวจมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ตั้งแต่ต้นปี 2550 (1 ม.ค. - 20 มี.ค.) พบว่า มีมูลค่าการซื้อขายรวม 661,510.73 ล้านบาท เฉลี่ยวันละ 12,248.32 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่ารวม 1,201,064.33 ล้านบาท หรือคิดเป็นการลดลงกว่า 44.92% เฉลี่ยวันละ 22,241.93 ล้านบาท

นายวิจิตร สุพินิจ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การที่มูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ลดลง และการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนรอปัจจัยบวกที่จะเข้ามากระตุ้นการลงทุน เช่นการลงทุนภาครัฐ ที่จะเป็นแรงจูงใจที่จะทำให้ภาคเอกชนมีการลงทุน การเมืองนิ่งและมีการจัดการเลือกตั้งใหม่ และการลดอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามคาดไว้ว่าจะมีการปรับลดลง แต่ในด้านปัจจัยพื้นฐานนั้นตลาดหุ้นไทยแล้วถือว่าอยู่ในระดับที่ดี และยังสามารถดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ส่วนตัวได้มีการหารือกับนักลงทุนสถาบันต่างประเทศก็มองว่าตลาดหุ้นไทยนั้นมีค่าราคาที่ถูกมาก และนักลงทุนดังกล่าวก็ได้มีการทยอยเข้าซื้อหุ้นไทย ส่วนนักลงทุนที่ลงทุนระยะยาวนั้น ส่วนตัวก็เชื่อว่าก็จะเข้ามาทยอยซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี แต่ราคาอยู่ในระดับที่ต่ำเช่นกัน ส่วนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้นก็ถือว่ายังไม่ถึงขั้นที่มีเป็นปัญหามากนัก เพราะ การส่งออกก็ยังเติบโตดี ดุลบัญชีเดินสะพัด และบัญชีดุลการค้าก็อยู่ในระดับที่ดี แต่ส่วนที่ยังขาดคือการนำเข้าสินค้าเพื่อที่จะนำไปสู่การลงทุนต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชน อย่างไรก็ตามเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 750 จุด ได้

"ตลาดหุ้นในช่วงนี้ที่มีวอลุ่มเบาบางดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เนื่องจาก นักลงทุนรอปัจจัยบวกที่จะเข้ามากระตุ้นในเรื่องการลงทุน ประเด็นหลักคือ การลงทุนภาครัฐ การเมืองนิ่งนำไปสู่การเลือกตั้ง ส่วนในเรื่องอัตราดอกเบี้ยนั้น ก็มีแนวโน้มที่จะมีการปรับตัวลดลง รวมถึง มาตรการ 30% ก็มีการผ่อนคลายไปมากแล้ว "นายวิจิตร กล่าว

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ส่วนตัวคาดว่าวอลุ่มการซื้อขายหลักทรัพย์ในไตรมาส1/50 จะอยู่ที่ 9,000 ล้านบาทต่อวันจากที่นักลงทุนมีการชะลอการลงทุนจากปัจจัยลบในช่วงที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยทั้งปีนี้จะใกล้เคียงกับปี 2549 ที่มี 16,000 ล้านบาทต่อวัน จากการที่มีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนเพิ่ม การเลือกตั้ง การลงทุนภาครัฐ ฯลฯ

สำหรับการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงนี้นั้นไม่ได้ทำให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนเพื่อเก็งกำไรค่าเงิน เนื่องจาก ขณะนี้ปริมาณการซื้อขายที่เบาบางและในช่วงนี้นักลงทุนต่างประเทศก็ยังคงมีการขายสุทธิอยู่ โดยยังไม่เห็นสัญญาณการเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้ามาเก็งกำไรจากค่าเงิน

นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน กล่าวว่า บริษัทได้ประเมินดัชนีตลาดหุ้นปี 2550 ไว้ที่ระดับ 720 จุด หากสถานการณ์การเมืองเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น แต่หากการเมืองยังไม่มีความชัดเจนจะเป็นแรงกดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ระดับ 700 จุด จากปัจจุบันที่ดัชนีตลาดหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 600-700 จุด

สำหรับมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทมีแนวโน้มปรับลดประมาณการลงจากเดิมที่ตั้งเป้ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยประมาณวันละ 17,000 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ระดับวันละ 16,000 ล้านบาท

"ปัจจัยการเมืองกดดันให้วอลุ่มซื้อขายหุ้นปรับตัวลดลง และไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามากระตุ้น รวมทั้งบริษัทต่างๆเริ่มเข้าใกล้การประกาศขึ้นเครื่องหมาย XD ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน"

นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนสายงานวิจัย บล. เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ระดับ 15,000 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งปรับตัวลดลงจากปีก่อนเนื่องจากนักลงทุนยังคงชะลอการลงทุนเพื่อรอการพิจารณาในการตัดสินใจเข้ามาลงทุน ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งช่วงปลายปีนี้ นอกจากนี้จากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่มีความชัดเจน ประกอบกับสถานการณ์ความรุนแรงในเขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุน ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มบันเทิง โรงไฟฟ้า และหลีกเลี่ยงหุ้นที่เกี่ยวของกับการเมือง เช่น หุ้นกลุ่มชินคอร์ป

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มูลค่าการซื้อขายปีนี้คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 16,000 - 17,000 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าปีที่แล้ว โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 1 ที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยเพียง 12,000 ล้านบาท เนื่องจากการชะลอการลงทุนของนักลงทุนเพราะสถานการณ์ทางการเมืองประกอบกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แย่ลง

"ช่วงครึ่งปีหลังสถานการณ์การลงทุนน่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งส่วนของนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศเพราะมีปัจจัยจากการเมืองและการร่างรัฐธรรมนูญที่น่าจะมีความชัดเจนเกิดขึ้นในตอนนั้น ประกอบกับผลจากการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้นจากดอกเบี้ยที่ปรับตัวลง"

นายชัยพร กล่าวต่อว่า ตอนนี้ยังคงประมาณการณ์ดัชนีตลอดทั้งปีในกรอบแนวรับที่ 640-650 จุด และแนวต้านที่ 740 จุด โดยหลังจากนี้ดัชนีจะมีลักษณะซบเซาต่อเนื่องจนถึงครึ่งปีหลัง และเพิ่มขึ้นมากที่สุดในไตรมาส 3 เพราะปัจจัยบวกจากการประมูลโครงการ รถไฟฟ้าและการซื้อคาดหวังก่อนการเลือกตั้งที่น่าจะเกิดขึ้นมในช่วงปลายปี ซึ่งน่าจะทำให้ดัชนีและปริมาณการซื้อขายกลับมาเพิ่มมากขึ้นได้ อีกครั้งหนึ่ง

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในขณะนี้ปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์มี ปริมาณที่น้อยลง โดยไตรมาส 1 น่าจะมีเฉลี่ยปริมาณการซื้อขายไม่เกิน 12,500 ล้านบาทต่อวัน แต่อย่างไรก็ตามทั้งดัชนีและปริมาณการซื้อขาย น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลังเมื่อสถานการณทางการเมืองและเศรษฐกิจมีความชัดเจนมากขึ้น

"ส่วนต่างชาตินั้น น่าจะกลับมาในครึ่งปีหลัง แต่คงจะเป็นgพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะยังมีบางส่วนที่ชลอการลงทุนยาวออกไปจนกว่าจะเกิด รัฐบาลสมัยหน้าและมีความชัดเจนเรื่องพรบ.หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับต่างชาติก่อน"

***ตลท.เผยไตรมาส4/49ROEบจ.ลด

ด้านสายงานวิจัยและข้อมูลสารสนเทศตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยข้อมูล SET Note Corporate Update ไตรมาส 4/2549 มีสาระสำคัญ 3 ด้านคือ ประสิทธิภาพการดำเนินงาน การลงทุน และการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่า ประสิทธิภาพของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่รวมกลุ่มสถาบันการเงินและบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด (NPG) ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ 17.3% ส่วนประสิทธิภาพการใช้ทุน (ROCE) อยู่ที่ระดับ 16.5% ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 1.6% และ 0.1% ตามลำดับ

ด้านการลงทุนของบริษัทจดทะเบียนมีการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรรวม 93,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 62% เนื่องจากบางกลุ่มอุตสาหกรรมมีการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มทรัพยากรที่มีการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้น 155% และจากการวิเคราะห์งบกระแสเงินสดในไตรมาส 4/2549 พบว่าบริษัทจดทะเบียนมีเงินสดรับจากการดำเนินงานและการจัดหาเงินกว่า 163,000 ล้านบาท และ 36,000 ล้านบาท ตามลำดับมากกว่าเงินสดจ่ายจากการลงทุนซึ่งเป็นเม็ดเงินกว่า 124,000 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทจดทะเบียนจึงมีเงินสดรับสุทธิ 75,000 ล้านบาท

สำหรับการระดมทุนมีมูลค่ารวมกว่า 67,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70% โดยส่วนใหญ่เป็นการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีมูลค่ากว่า 65,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการระดมทุนประเภทการให้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนแก่ผู้ถือหุ้นเดิม (XR) และประเภทเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนเฉพาะเจาะจง (PP) โดยมีมูลค่าการระดมทุนรวมมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท และ 28,000ล้านบาทตามลำดับ แต่ไม่มีการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไป (PO)ในไตรมาส4/49

ส่วนประสิทธิภาพด้านการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนลดลงเล็กน้อย เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุน 15.7% มากกว่าการเพิ่มขึ้นของยอดขาย 15.1% ส่งผลให้กำไรสุทธิขั้นต้นลดลง ขณะเดียวกันพบว่าบริษัทจดทะเบียนมีความเสี่ยงด้านการเงินอยู่ในระดับต่ำ โดยมีอัตราส่วนหนี้ต่อทุน (dept to equity ratio) ที่ 1.1 เท่า และความสามารถในการชำระดอกเบี้ย (interest coverage ratio) ที่อยู่ในระดับที่ 6.8 เท่า


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.