"สจฟ…ภารกิจใหม่ของการไฟฟ้า"


นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2536)



กลับสู่หน้าหลัก

สำนักงานการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้าหรือในชื่อย่อว่า สจฟ. เป็นหน่วยงานที่มีฐานะเทียบเท่าฝ่ายของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นมาเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว โดยขึ้นตรงต่อคณะอนุกรรมการการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า ซึ่งมีสมบูรณ์ มณีนาวา ผู้ว่าการการไฟฟ้าฯ เป็นประธาน

"ภารกิจเดิมของกฟผ.ก็คือ การสร้างและผลิตไฟฟ้าแต่ตอนนี้เรามีหน้าที่ใหม่เพิ่มขึ้นมาคือ รณรงค์ในเรื่องของการประหยัดไฟฟ้า เพื่อให้มีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ" สุวิทย์ ศิริสุวรรณชน ผู้อำนวยการสำนักงานจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (สจฟ.) พูดถึงความรับผิดชอบของหน่วยงานนี้

ตัวเลขของการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยนั้น กฟผ.ระบุว่าหากการใช้ไฟฟ้าของคนไทยยังอยู่ในระดับปัจจุบัน ปริมาณของความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 1 พันเมกะวัตต์ ซึ่งหมายความว่า กฟผ.จะต้องสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ซึ่งมีกำลังการผลิต 300 เมกะวัตต์ หรือเท่ากับขนาดของโรงไฟฟ้าที่แม่เมาะประมาณปีละ 3-4 โรง

ฟังๆ ดูแล้ว ไม่ได้เป็นเรื่องเล็ก ๆ เลย เพราะการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าแต่ละโรงในปัจจุบัน เป็นเรื่องยากมาก เพราะมีข้อจำกัดหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นด้านเชื้อเพลิงหรือด้านสิ่งแวดล้อม ที่เป็นเรื่องใหญ่ในปัจจุบัน

"เราเชื่อว่านโยบายของสำนักงานจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (สจฟ.) จะทำให้มีการประหยัดไฟฟ้าได้ถึงประมาณ 300 เมกะวัตต์" สุวิทย์กล่าวถึงตัวเลขเป้าหมาย

นั่นหมายความว่า หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนงานที่สจฟ.วาดเอาไว้แล้ว ในปี 2541 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า กฟผ.จะประหยัดเงินลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าประมาณ 10,000 ล้านบาทประหยัดค่าเชื้อเพลิงประมาณ 640 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงไฟฟ้าได้ประมาณ 1 ล้านตัน !!!

ที่สำคัญก็คือ การไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มนั้นเป็นการลดกระแสการต่อต้านจากกลุ่มเคลื่อนไหวด้านอนุรักษ์ธรรมชาติในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการต่อต้านการสร้างเขื่อนหรือการสร้างโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

สำหรับมาตรการประหยัดไฟนโยบายแรกที่สจฟ.เริ่มก็คือโครงการประชาร่วมใจใช้หลอดประหยัดไฟฟ้า ซึ่งได้มีการลงนามทำข้อตกลงระหว่าง กฟผ.กับผู้ผลิตหลอดไฟฟ้ารายใหญ่ในประเทศ 5 รายคือ ไทยโตชิบาไลท์ติ้ง ฟิลิปส์อิเล็กทรอนิกส์(ประเทศไทย) สยามทรีนิตี้อินเตอร์เทรด เอเซียอุตสาหกรรมหลอดไฟฟ้าและล.กิจเจริญแสง ในการที่ทั้ง 5 บริษัทนี้จะเลิกผลิตหลอดไฟฟ้าแบบเดิมซึ่งกินไฟขนาด 20 และ 40 วัตต์ หลังจากวันที่ 19 ธันวาคม 2539 และหันมาผลิตเฉพาะหลอดไฟฟ้าประหยัดไฟขนาด 18 และ 36 วัตต์ ซึ่งกินไฟน้อยลงแต่ให้ความสว่างเท่าเดิมแทนโดยที่ทางสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือ อมก.ของกระทรวงอุตสาหกรรมก็จะเปลี่ยนแปลงมาตรฐานของหลอดไฟฟ้าใหม่ ด้วยการออกเครื่องหมายมาตรฐานอุตสาหกรรม หรือมาตรฐาน อมก. ให้กับหลอดไฟฟ้าแบบประหยัดไฟนี้ และยกเลิก อมก.ที่ให้กับหลอดแบบเดิมเสีย เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้หลอดประหยัดไฟนี้แทน

"เป็นการนำการตลาดมาช่วยในการรณรงค์การประหยัดไฟ" สุวิทย์พูดถึงกลยุทธ์หลักในการรณรงค์ครั้งนี้ ซึ่งถือว่าเป็นโครงการด้านการประหยัดไฟชิ้นแรกที่ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง และน่าจะมีผลในทางปฏิบัติ เพราะว่าสามารถดึงผู้ผลิตที่ครอบครองตลาดในประเทศเกือบทั้งหมดเข้ามาร่วมได้

ปัจจุบัน การผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย อยู่ในจุดที่มีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยประมาณหน่วยละ 1.80 บาท ซึ่งหากเพิ่มการผลิตจะทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้นกว่าเดิม อันจะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าทุกอย่างสูงขึ้นหากการใช้ไฟฟ้าไม่เป็นไปอย่างระมัดระวัง

"เรื่องค่าไฟนี่เป็นรื่องสำคัญของการลงทุนอุตสาหกรรม" สุวิทย์กล่าว พร้อมทั้งยกตัวอย่างว่า ระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่น ในการหาเงิน 1 ดอลล่าร์ อเมริกาจะใช้เชื้อเพลิงสูงกว่าญี่ปุ่นถึง 2 เท่าตัว

ในฐานะผู้ผลิตไฟฟ้าเพียงรายเดียวในประเทศ กฟผ.จึงต้องลงมาทำกิจกรรมนี้

หลังจากจบการรณรงค์ใช้หลอดไฟฟ้า โครงการรณรงค์ประหยัดไฟต่อไปก็จะหันมาแนะนำในเรื่องการใช้เครื่องไฟฟ้าตัวอื่น คือตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศเป็นอันดับต่อไป

การดำเนินโครงการให้มีการประหยัดไฟของกฟผ.โดยผ่านบทบาทของสำนักงานการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้าในครั้งนี้ คือความพยายามสร้างภาพพจน์ใหม่ของการไฟฟ้าฯ ให้เห็นว่า ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะสร้างโรงไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว จนจะทำอะไรแต่ละทีก็ถูกจับตาดูจากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมว่าจะทำลายสมดุลทางนิเวศวิทยากันอีกแล้วหรือ



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.