เหมือนสายฟ้าฟาด !! กลางความรู้สึกของผู้คนในแวดวงเรียลเอสเตท เมื่อรังสรรค์
ต่อสุวรรณ นายกสมาคมการค้าอาคารชุดเจ้าของโครงการที่อยู่อาศัยหลายโครงการถูกข้อหา
จ้างวานฆ่าประธานศาลฎีกา และไม่ว่าคำ "พิพากษา" จะออกมาเช่นไร
ณ วันนี้ รังสรรค์ สูญสิ้นชื่อเสียงหมดแล้วทางด้านการทำธุรกิจที่ดิน
กว่า 6 โครงการที่กำลังก่อสร้าง และเร่งทำยอดขายจะได้รับการเยียวยาแก้ไขอย่างเร่งด่วนจากคณะกรรมการบ้านฉัตรเพชรได้ทันหรือไม่
หรือจะพังพาบล้มพับลงไปเฉกเช่นเดียวกับเกมโดมิโน เพราะทุกวันนี้แม้ "เครดิต"
ของผู้ประกอบการจะยอดเยี่ยมเพียงไร แต่ภาวะการแข่งขันการขายที่หนักหน่วงทำให้การปิดยอดขายแต่ละโครงการหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว
และในบรรดาธุรกิจกว่า 20,000 ล้านบาทนั้นโครงการ "สีลม พรียเชียส
ทาวเวอร์" กำลังถูกจับตามองมากที่สุด เนื่องจากโครงการนี้มีมูลค่าในการก่อสร้างสูงถึง
12,000 ล้านบาท สูงสุดกว่าทุกโครงการที่รังสรรค์เคยทำมา
ย้อนหลังกลับไปในยุคทองของการพัฒนาที่ดินเมื่อปี 2530-2532 รังสรรค์ ต่อสุวรรณ
เปรียบประดุจช้างตกมันในวงการก่อสร้างเพราะนอกจากจะทำคอนโดตากอากาศตระกูล
"บีช" ตามเมืองชายทะเลทั้งหลายแล้ว ยังฟาดงวงฟาดงามาทำโครงการต่างๆ
ในเมืองหลวงอีกด้วย สีลม พรีเชียส ทาวเวอร์ ได้เปิดตัวเป็นทางการและวางศิลาฤกษ์ในวันที่
2 ก.พ. 2534 ด้วยความฝันของรังสรรค์ที่ต้องการสร้างสรรโครงการให้เป็นศูนย์รวมการค้าอัญมณีที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลกบนถนนสีลม
ในที่ดินซึ่งกรมที่ดินได้จารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ว่ามีการซื้อขายกันแพงที่สุดในช่วงปี
2533 คือตกประมาณราคาตารางวาละ 270,000 บาท
ที่ดินทั้งหมดประมาณ 5 ไร่เศษคิดเป็นเงินที่รังสรรค์ต้องจ่ายในตอนนั้นเกือบ
600 ล้านบาท งบประมาณทั้งโครงการคาดไว้ว่าจะต้องจ่ายไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท
รูปแบบที่วางไว้คือเป็นตึกสูง 69 ชั้น แบ่งออกเป็นพลาซ่าศูนย์อัญมณีและอาคารสำนักงาน
ในต้นปี 2534 หลังวิกฤติการณ์สงครามอ่าวเปอร์เซียนั้น ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังอึมครึม
แต่โครงการนี้จำเป็นต้องเร่งเปิดตัว เพราะนอกจากต้นทุนที่ดินที่มีค่ามหาศาลแล้ว
ยังมีโครงการศูนย์อัญมณีกำลังแข่งกันเกิดพร้อมๆ กันประมาณ 5-6 โครงการ หวังจับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเดียวกัน
โดยเฉพาะโครงการจิวเวลรีเทรดเซ็นเตอร์ ที่มีทศ จิราธิวัฒน์ แห่งค่ายเซ็นทรัลพัฒนาเป็นหัวเรือใหญ่
และกำลังเร่งงานขายงานก่อสร้างอย่างรวดเร็ว รวมทั้งโครงการศูนย์อัญมณีบนถนนสุริวงศ์นับเป็นหอกข้างแคร่ที่สำคัญผลักดันให้
สีลม พรีเชียส ทาวเวอร์ ต้องก้าวเดินหน้าต่อไปอย่างเดียว
ภาวะการแข่งขันรุนแรงขึ้นทุกขณะ สีลม พรีเชียส พยายามฉีกหากลยุทธ์ทางด้านการขายทุกรูปแบบเพื่อเป็นการแย่งชิงลูกค้า
ด้วยการนำโครงการไปขายยังสถานทูตไทยในอเมริกา รวมทั้งได้นำโครงการออกไปแสดงในงานประชุมสมาคมผู้ค้าอัญมณีโลก
เพื่อหวังจะดึงสมาคมผู้ค้าอัญมณี ให้เข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย แต่ก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าใดนัก
จนย่างเข้าเดือนกันยายน 2534 รังสรรค์ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า การขายโครงการสีลม
พรีเชียส ฝืดอย่างหนักเพราะภาวะเศรษฐกิจไม่เป็นใจจำเป็นต้องหยุดงานขายไปก่อน
รังสรรค์หยุดการขายโครงการนี้พร้อมๆ กับโครงการขนาดยักษ์อีก 2 โครงการคือ
ฉัตรเพชร ทาวเวอร์ คอนโด สูง 45 ชั้น บนถนนเจริญกรุง และโครงการ โกลเด้นบีชการ์เด้นท์
ที่หาดน้ำริน จังหวัดระยอง หลังจากนั้นก็ได้ลดเพดานบินลง โดยหันไปทำโครงการทาวเฮ้าส์และคอนโดราคาระดับกลางคือโครงการบ้านฉัตรเพชรบางพลัด
และรัชดาพิเษกแทน รวมทั้งโครงการบ้านบีโอไอ
"ถ้าไม่หันมาจับตลาดล่าง ผมจะเอาเงินที่ไหนมาหมุนเวียนจ่ายลูกน้อง"
รังสรรค์เคยกล่าวอย่างยอมรับสถานภาพทางด้านการเงิน
ท่ามกลางข่าวลือศูนย์ธุรกิจอัญมณีส่อเค้าล้มเมื่อต้นปี 2536 รังสรรค์ก็ออกมาชี้แจงว่าโครงการยังดำเนินการต่อไป
โดยยังไม่ปรับเปลี่ยนรูปแบบแน่นอน และยังยึดกลุ่มลูกค้าหลักคือศูนย์อัญมณีตามแผนการเดิม
แต่ยอมรับว่าการก่อสร้างล่าช้าจริงเพราะการก่อสร้างชั้นใต้ดินที่ลึกถึง 6
ชั้น ทำให้งานผนังกันดินเพื่อป้องกันมิให้เกิดการทรุดตัวและพังทลายของที่ดินด้านข้างโดยรอบอาคาร
ทำการก่อสร้างด้วยความยากลำบากมากเพราะบริเวณนั้นมีอาคารเก่าๆ และอาคารโรงพยาบาลเลิศสินอยู่ชิดติดกับโครงการ
และ ณ วันนี้สีลม พรีเชียส ดำเนินการก่อสร้างชั้นใต้ดินลึกถึง 6 ชั้นไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว
และกำลังก่อสร้างชั้นที่ 4 บนดิน ซึ่งนับว่าล่าช้าจากกำหนดเดิมที่กำหนดไว้ว่า
ประมาณชั้นที่ 4 นี้จะต้องเสร็จประมาณกลางปี 2535
ในขณะเดียวกันบริษัทซัมซุง คอนสตรัคชั่น บริษัทก่อสร้างชั้นแนวหน้าระดับ
1 ใน 5 ของเกาหลีซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการนั้น ก็ได้ออกมายืนยันหนักแน่นเช่นกันว่าจะเดินหน้าทางด้านการก่อสร้างต่อไป
โดยมีกำหนดเสร็จประมาณกลางปี 2539 เพราะยังไม่มีคำสั่งออกมาให้หยุดหรือชะลอไว้ก่อนเลย
โครงการนี้มีความหมายมากสำหรับซัมซุง เพราะเป็นอาคารขนาดใหญ่โครงการแรกที่ทางบริษัทเองต้องการฝากฝีไม้ลายมือให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน
เพื่อโอกาสในการก้าวขึ้นไปรับงานใหญ่ชิ้นต่อๆ ไป
สำหรับเงินค่างวดในการก่อสร้างที่มีข่าวว่าชะลอการจ่ายไปบ้างนั้น ทางซัมซุงย้ำว่าเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น
ในขณะที่การก่อสร้างยังคงเดินหน้าสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าต่อไป ปรมาจารย์หลายรายในวงการที่ดินก็ให้ความเห็นว่า
ทางออกของโครงการนี้ยังไม่มืดมนเสียทีเดียว เหตุผลหนึ่งที่สำคัญก็คือโครงการนี้ตั้งอยู่ในกลางทำเลทองด้านธุรกิจซึ่งหาที่ดินได้ยากแล้วในปัจจุบัน
ราคาประเมินของกรมที่ดิน ณ วันนี้ตกประมาณ 500,000 บาทต่อตารางวา
แต่สิ่งสำคัญที่สุด รังสรรค์ต้องถอนตัวออกไปก่อนอย่างเด็ดขาดเพื่อภาพพจน์ที่ดีและปล่อยให้เป็นบทบาทของคณะกรรมการบ้านฉัตรเพชร
ที่จะต้องเข้ามาศึกษารายละเอียดความเป็นไปได้ของโครงการอีกครั้งหนึ่ง ว่าการสร้างเป็นศูนย์อัญมณีตามเจตนารมย์เดิมมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
ถ้าไม่ได้จะปรับรูปแบบเป็นอย่างไร รวมทั้งดึงมืออาชีพเข้ามาเป็นที่ปรึกษาและผู้ถือหุ้นใหม่
กิจการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม เซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ หรือ อาคารสำนักงาน
ยังพอเป็นทางออกที่เป็นไปได้ถึงแม้ว่าวันนี้การแข่งขันกันตัดราคาค่าเช่าพื้นที่ออฟฟิศบนสีลมค่อนข้างรุนแรงเหลือเพียง
500-600 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือนก็ตาม แต่โครงการนี้กว่าจะก่อสร้างเสร็จอีกประมาณ
3 ปี ซึ่งตอนนั้นภาวะล้นตลาดคงจะต้องลดน้อยลง
ในขณะเดียวกันนักลงทุนบางรายก็แย้งว่า ขณะนี้ทำเลทองของโครงการต่างๆ ไม่จำเป็นต้องอยู่บนสีลมอีกต่อไปแล้วเพราะมีถนนสายใหม่อีกหลายสายมีศักยภาพในการลทุนเช่นกัน
โดยเฉพาะออฟฟิศนั้นคาดว่าจะตกอยู่ในภาวะล้นตลาดอีกนาน
สำหรับคณะกรรมการบ้านฉัตรเพชรที่เพิ่งเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในสาธารณชนรับรู้ไปเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์
2536 นั้น มีวานิช ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการบริษัทไทยประกันชีวิต บริษัทไพบูลย์ประกันภัย
บริษัทไทยประกันสุขภาพ ซึ่งว่ากันว่า เป็นกลุ่มบริษัทที่มีสินทรัพย์มากมายเท่ากับธนาคารขนาดใหญ่
เข้ามาเป็นประธานคณะกรรมการบริหาร
สีลม พรีเชียส ทาวเวอร์ จะเดินหน้าต่อไป หรือสลายไปกับหมอกควันชื่อเสียงและเครดิตของรังสรรค์
ต่อสุวรรณ หรือไม่ ?? คงต้องฝากความหวังไว้กับ วานิช ไชยวรรณ และกลุ่มผู้บริหารบ้านฉัตรเพชร
!!!