|
BTแจงหลังเพิ่มทุนบีไอเอส13-14%
ผู้จัดการรายวัน(14 มีนาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
"ไทยธนาคาร"ชี้แจงเหตุการเพิ่มทุนขั้นที่ 2 จากเงินกองทุนต่ำกว่าเกณฑ์ที่แบงก์ชาติกำหนดไว้ หลังต้องรับผลขาดทุนเงินชดเชยการบริหาร CAP ที่ต่ำกว่าคาดถึง 3,729 ล้าน และมีภาระตั้งสำรองตามเกณฑ์ IAS39 ถึง 1,900 ล้าน แต่ภายหลังจากการเพิ่มทุนในขั้นตอนที่สองแล้วจะทำให้มียอดเงินกองทุนเพิ่มขึ้นถึง 13-14% จากที่อยู่ในระดับ 6.14%
นายพีรศิลป์ ศุภผลศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการเพิ่มทุนของธนาคารว่า ไทยธนาคารได้มีแผนการเพิ่มทุน 2 ขั้นตอน โดยในขั้นแรกจะเป็นการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนของไทยธนาคารให้กับกองทุนทีพีจี นิวบริดจ์ (TPG Newbridge) จำนวนประมาณ 556 ล้านหุ้น และเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับนักลงทุนรายอื่นๆอีกจำนวน 175 ล้านหุ้น ซึ่งข้อเสนอการเพิ่มทุนในขั้นแรกนี้ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นเรียบร้อยแล้ว และในขั้นตอนที่สองฝ่ายจัดการของธนาคารจะเสนอแผนในการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (Rights Offering) ในสัดส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่
ฝ่ายจัดการของธนาคารจะเสนอแผนเพิ่มทุนดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของเงินกองทุนเพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจตามแผนงานที่ได้วางไว้ ซึ่งแผนเพิ่มทุนนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนจากแผนเพิ่มทุนเดิม เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาธนาคารได้รับผลกระทบจากรายการพิเศษหลายประการ ทำให้ธนาคารมีสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงต่ำกว่าเกณฑ์ของ ธปท. แต่ธนาคารมิได้มีเงินกองทุนติดลบตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด และหากธนาคารไม่ได้รับผลกระทบจากรายการพิเศษดังกล่าว ธนาคารจะมีสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ประมาณร้อยละ 11-12
ทั้งนี้ ผลกระทบจากรายการพิเศษที่จำเป็นต้องรับรู้ทันที ได้แก่ ผลขาดทุนจากการได้รับเงินชดเชยจากการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ(CAP) ซึ่งน้อยกว่าที่ได้บันทึกไว้รวมประมาณ 3,729 ล้านบาทและภาระจากการทยอยตั้งสำรองตามเกณฑ์ IAS39 ทำให้สัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารลดลงไปอยู่ที่ระดับร้อยละ 7–8 อย่างไรก็ตาม เพื่อรองรับการเข้าถือหุ้นของนักลงทุน ซึ่งจำเป็นต้องมีการตั้งสำรองให้ครบถ้วน ธนาคารจึงได้ตั้งสำรองตามเกณฑ์ IAS39 จำนวน 1,900 ล้านบาทในครั้งเดียว และตั้งค่าเผื่อการซื้อคืนใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) จากกองทุนฟื้นฟูฯ จำนวนประมาณ 1,146 ล้านบาท ซึ่งผลกระทบดังกล่าวทำให้ปัจจุบันธนาคารมีสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ประมาณร้อยละ 6.14 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดที่ร้อยละ 8.5 ฝ่ายจัดการของธนาคารจึงได้เสนอปรับแผนเพิ่มทุนเพื่อรองรับผลกระทบดังกล่าว
นายพีรศิลป์กล่าวเสริมว่า ในส่วนของผลการดำเนินงานปกติของธนาคารในปีที่ผ่านมามีกำไรเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 97 ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพในการขยายธุรกิจของธนาคาร ดังนั้น การเพิ่มทุนดังกล่าวจะมีผลดีต่อธนาคารในด้านความแข็งแกร่งของเงินกองทุน โดยจะมีเงินกองทุนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 13-14 ซึ่งสามารถรองรับการขยายตัวของธนาคารในระยะต่อไป อีกทั้งเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้นเดิมของธนาคาร โดยการให้สิทธิผู้ถือหุ้นเดิมจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของธนาคารเพื่อโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนการลงทุนต่อไป
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|