|
ส่งออกไทยถูกจีนตีตลาดปรับทิศธุรกิจหันลงทุนอสังหาฯโซนสุขุมวิท
ผู้จัดการรายวัน(14 มีนาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
นักธุรกิจส่งออกเจอมรสุมสินค้าจีนทุ่มตลาด แถมเงินบาทแข็งค่าจนทุนหายกำไรหด หันพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ - คอนโดฯ ภายใต้แบรนด์ ดิ แอลโคฟ ส่งไม้ต่อเน็กซัสช่วยขาย พร้อมระบุทำเลสุขุมวิท ซ.1-63 มีค้าคอนโดฯเหลืออยู่ในตลาดไม่ถึง 1,000 ยูนิต เหตุผู้ประกอบการหวั่นสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง เศรษฐกิจซบไม่กล้าลงทุนเพิ่ม
นายอนันต์ สิงห์จิรกุล ผู้อำนวยการ บริษัท ซามิราโน่ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า เดิมตนทำธุรกิจส่งออกผ้า ในนามบริษัท เท็คทารา จำกัด มากกว่า 10 ปี มีรายได้จากการส่งออกปีละ 400-500 ล้านบาท แต่ในระยะหลังถูกสินค้าจีนทุ่มตลาด โดยขายราคาต่ำกว่า 30-40% นอกจากนี้ยังประสบปัญหาเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ขาดทุน ทำให้เลิกกิจการส่งออกไป
ในระหว่างนั้นได้ลงทุนซื้อคอนโดฯ บางยูนิตในโครงที่มีทำเลที่ตั้งที่ดี เพื่อปล่อยเช่าหรือขายต่อ จนกระทั้งในปี 2548 ได้หันมาลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างจริงจัง โดยพัฒนาโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ภายใต้ชื่อ ดิ แอลโคฟ ทองหล่อ 23 จำนวน 20 ยูนิต มูลค่า110 ล้านบาท ราคาเช่า 45,000 บาท/ห้อง/เดือน ปัจจุบันมีผู้เช่าแล้ว 50% เน้นกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่น จีน ซึ่งโครงการนี้จะสร้างรายได้ให้บริษัทเดือนละ 6 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ดิ แอลโคฟ สุขุมวิท 49 จำนวน 48 ยูนิต มูลค่าโครงการ 230 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 40 ยูนิต และล่าสุดได้เปิดตัวโครงการ ดิ แอลโคฟ ทองหล่อ 10 จำนวน 141 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 2.5-6 ล้านบาท หรือประมาณ 75,000 บาทต่อตร.ม. มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท
ส่วนแหล่งเงินลงทุนนั้น ใช้เงินทุนของบริษัท 60% ส่วนที่เหลือเป็นสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ซึ่งทั้ง 2 โครงการบริษัทได้มอบหมายใน บริษัท เน็กซัส พรอพเพอตี้ คอนซัลแทนท์ จำกัด เป็นผู้บริหารงานขายให้ โดยคาดว่าภายใน 6 เดือนจะมียอดขายในโครงการดิ แอลโคฟ ทองหล่อ 10 ไม่ต่ำกว่า 60% และจะสามารถปิดการขายได้ภายในปีนี้
ด้านนายอภิสิทธิ์ ลิ้มล้อมวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอตี้ คอนซัลแทนท์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดคอนโดมิเนียมในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ได้รับความนิยมอย่างมาก มีผู้ประกอบการหลายรายหันเข้าสู่ตลาดนี้ จนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาสินค้าออกสู่ตลาดจำนวนมาก โดยเฉพาะบนถนนสุขุมวิท ซ.1-63 ที่ตลอด 5 ปีที่ผ่านมามีคอนโดมิเนียมเข้าสู่ตลาดมากถึง 50 โครงการประมาณ 7,000 ยูนิต ปัจจุบันปิดการขายไปแล้ว 25 โครงการ มียอดขายแล้ว 87% สินค้าที่ขายดีจะเป็นขนาด 1 ห้องนอนไม่เกิน 40 ตร.ม.
ปัจจุบันในทำเลดังกล่าวมีสินค้าเหลือขายไม่ถึง 1,000 ยูนิต เนื่องจากมีสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดน้อยมาก เพราะผู้ประกอบการไม่กล้าลงทุนเนื่องจากไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจ ความไม่สงบทางการเมือง จากที่ก่อนหน้านี้มีสินค้าออกสู่ตลาดมากจนทำให้เกรงว่าจะเกิดภาวะโอเวอร์ซัพพรายของตลาดคอนโดฯในบางทำเล ดังนั้นผู้ประกอบการที่มีเงินลงทุนพัฒนาในช่วงนี้จะได้เปรียบ เพราะมีคู่แข่งน้อย
"สินค้าคอนโดฯ ถือว่าได้เปรียบกว่าบ้านเดี่ยว ตรงที่สามารถซื้อและขายเปลี่ยนมือหรือปล่อยเช่าได้ง่ายกว่าบ้านเดี่ยว ทำให้ในช่วงที่ผ่านมามีนักลงทุนรายย่อย ลงทุนซื้อยูนิตในคอนโดฯ เพื่อปล่อยเช่าหรือขายต่อ ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่าไม่มีความเสียงเพราะมีกำลังเงินในการโอนห้องชุดได้ นอกจากนี้ราคาที่เจ้าของโครงการเสนอขายในช่วงเปิดพรีเซลล์จะต่ำกว่าช่วงที่ก่อสร้างแล้วเสร็จไม่ต่ำกว่า 15% ทำให้นักลงทุนมีกำไรอยู่แล้ว อีกทั้งยังบวกเพิ่มในส่วนที่ได้จ่ายค่าธรรมเนียมไปก่อนหน้านี้ ดังนั้นนักลงทุนจะขายต่อห้องชุดสูงกว่าราคาซื้อเดิมประมาณ 20%ปัจจุบันต้องยอมรับว่าในคอนโดฯ 1โครงการจะมีทั้งนักลงทุนและเกร็งกำไรอยู่ประมาณ 30% โดยเฉพาะในยูนิตที่มีการผ่อนชำระประมาณ 10,000 บาท/เดือน" นายอภิสิทธิ์ กล่าวและว่า
สำหรับภาวะการขายอสังหาริมทรัพย์นั้นต้องยอมรับว่าในปัจจุบันบ้านระดับบนมียอดขายที่ชะลอตัว เนื่องจากลูกค้าในกลุ่มนี้ไม่ได้มีความเดือนร้อนในเรื่องที่อยู่อาศัย เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัวก็จะชะลอการซื้อไปด้วย แต่ในขณะที่ตลาดระดับกลาง-ล่าง มีความจำเป็นในเรื่องที่อยู่อาศัยมากกว่าทำให้ต้องพยายามซื้อบ้านให้ได้แม้ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ประกอบกับปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จะเป็นส่วนช่วยหนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างมาก
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|