|
TSTHผลิตเหล็กเพิ่ม20%ใช้ช่องบริษัทแม่รุกส่งออก
ผู้จัดการรายวัน(13 มีนาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
ทาทาสตีลฯ ตั้งเป้าผลิตเหล็กเส้นแตะ 1.3 ล้านตัน ขยายตัว 20% สวนทางยอดใช้เหล็กในประเทศทรงตัวหรือลดลงจากปีก่อน ฟุ้งอาศัยเน็ตเวิร์คบริษัทแม่ส่งออกปีนี้ 1.5 แสนตัน และหันมาชิงลูกค้าคู่แข่ง หลังแบงก์คุมเข้มปล่อยเงินกู้ซื้อวัตถุดิบแก่โรงเหล็กมากขึ้น มั่นใจปีนี้ยอดขายเติบโตจากปีก่อนไม่น้อยกว่า 20%
นายสันติ ชาญกลราวี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย )จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าผลิตเหล็กเส้นที่ 1.3 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีการผลิตอยู่ 1.06 ล้านตัน/ปี แม้ว่าสถานการณ์ความต้องการใช้เหล็กเส้นในประเทศปีนี้น่าจะทรงตัวหรือลดลงจากปีที่แล้ว เนื่องจากมีปัจจัยลบหลายประการทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดอกเบี้ยลดลง และความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยที่ไม่รู้ว่าจะไปในทิศทางใด
โดยบริษัทฯจะส่งออกเหล็กเส้นประมาณ 1.5 แสนตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วกว่า 10% ซึ่งจะอาศัยเน็ตเวิร์คจากบริษัทแม่ คือ ทาทาสตีล เชื่อว่าการส่งออกไม่น่าจะมีปัญหา เพราะปัจจุบันสหรัฐและประเทศในแถบตะวันออกกลางมีความต้องการใช้เหล็กจำนวนมาก
ส่วนตลาดในประเทศก็จะแย่งตลาดจากคู่แข่ง โดยอาศัยความได้เปรียบจากความแข็งแกร่งทางการเงิน ความพร้อมของสินค้า และอานิสงส์จากสถาบันการเงินค่อนข้างเข้มงวดการให้เงินสดหมุนเวียน(เวิร์คกิ้ง แคป)แก่โรงงานผลิตเหล็กเส้น ที่ต้องอาศัยวงเงินในการนำเข้าบิลเล็ตที่มีราคาสูง ทำให้บางโรงงานผลิตได้เหล็กเส้นได้ลดลง เชื่อว่าบริษัทจะมีส่วนแบ่งการตลาดเหล็กเส้นก่อสร้างเพิ่มขึ้นจากเดิม23 % เป็น 24-25%
"ปีที่แล้ว ยอดการใช้เหล็กทรงยาวในประเทศลดลง 10% และเหล็กทรงแบนลดลง 12% เนื่องจากมีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น ทำให้ภาคการใช้ลดลง และปีนี้เชื่อยอดการใช้เหล็กในประเทศจะทรงตัวหรือลดลงจากปีที่แล้ว โดย 2 เดือนแรกปีนี้จะเห็นยอดใช้ปูนซีเมนต์ลดลงอย่างมาก ดังนั้นความต้องการใช้เหล็กไม่ดีกว่าปีที่แล้ว แต่เศรษฐกิจทั่วโลกพบว่าความต้องการใช้เหล็กยังเติบโตต่อเนื่อง และราคาเหล็กเส้นปรับตัวเพิ่มขึ้นแน่นอน เป็นผลจากราคาแร่เหล็กที่ปรับขึ้นมาแล้ว ส่งผลให้เหล็กแท่ง (บิลเล็ต)ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 500 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยราคาบิลเล็ตอยู่ระดับสูงเช่นนี้มานานถึง 3 เดือนแล้ว "
ในปี2550 บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้เติบโตไม่น้อยกว่า 20%จากปี 2549ที่มีรายได้รวม 1.88 หมื่นล้านบาท นอกเหนือจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นแล้ว บริษัทฯจะผลิตเหล็กคุณภาพสูงที่มีมาร์จินดีกว่าเหล็กเส้นก่อสร้าง อาทิ เหล็กไฮคาร์บอนไวร์รอด เป็นต้น และราคาเหล็กเส้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.95 หมื่นบาท/ตันจากปีที่แล้วราคาเหล็กเส้นอยู่ที่ 1.78 หมื่นบาท เป็นผลจากราคาบิลเล็ตที่ปรับตัวขึ้น
นายสันติ กล่าวถึงผลกระทบจากค่าบาทที่แข็งขึ้นว่า จากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้น ทำให้บริษัทฯต้องระวังเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน โดยจะป้องกันความเสี่ยงโดยBooking Forward ทันทีที่ตัดสินใจส่งออก เพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ส่วนความคืบหน้าโครงการโรงถลุงเหล็กขนาด 5 แสนตัน มูลค่า 3.4 -3.6 พันล้านบาทว่า บริษัทได้ยื่นรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมไปแล้วเมื่อปลายปี 2549 คาดว่าจะได้รับอนุมัติภายในเดือนนี้ โดยขั้นตอนการผลิตจะไม่มีการลงทุนCoke Oven เพื่อลดมลภาระด้านสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้บริษัทได้ตัดสินใจเลือกซัปพลายเออร์เครื่องจักรจากจีน และมั่นใจว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ภายในปลายปี 2551
โครงการดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนการผลิตบิลเล็ตลดลง 1 พันบาทต่อตัน ช่วยควบคุมราคาการผลิตไม่ให้หวือหวา จากปัจจุบันที่เศษเหล็กผันผวนมากกว่าแร่เหล็กรวมทั้งยังเพิ่มกำลังการผลิตบิลเล็ตของบริษัทจากเดิม 1.2 ล้านตันเป็น 1.7 ล้านตันสอดคล้องกับกำลังการรีดเหล็กของบริษัทที่มีปีละ 1.7 ล้านตัน
สำหรับแหล่งเงินทุนนั้นจะมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงินทั้งจำนวน โดยไม่มีแผนจะเพิ่มทุนจดทะเบียน โดยบริษัทแม่จะแนะนำว่าจะหาแหล่งเงินทุนจากไหน
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|