จัดสรรปันทรัพย์ปลอดภัย มีกำไรได้ในยุคเศรษฐกิจปัจจุบัน


ผู้จัดการรายสัปดาห์(12 มีนาคม 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

3 มุมมองนักลงทุนสถาบันชี้เศรษฐกิจไทยยังพอไปได้แม้จะเป็นขาลง อาจติดๆขัดๆอยู่บ้าง แต่อนาคตยังสดใสทิศทางไปได้ไกลสามารถทำกำไรจากหุ้นได้อยู่ สมจินต์ให้สูตรกระจายความเสี่ยงด้วยวิธีเฉลี่ยลงทุน ด้านธีรพันธุ์แนะจัดสรรแบ่งเงิน 6 ส่วนลงทุนในสินทรัพย์ต่างชนิด

ในยุคเศรษฐกิจขาลง อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็ลดลง แม้หลายๆคนจะมีทรัพย์สินสุทธิอยู่ในมือ แต่เมื่อเจอกับภาวะเช่นนี้เข้าก็อาจะรู้สึกมึนๆกับความเป็นไปของเศรษฐกิจและไม่รู้จะทำอย่างไรให้สินทรัพย์ที่มีอยู่นั้นทำประโยชน์มีดอกออกผลให้งอกงามได้ประสิทธิผลสูงสุดและมีความเสี่ยงอยู่ในระดับต่ำภายใต้สถานการณ์ที่เปราะบางในปัจจุบัน ฉะนั้น 3 ผู้คร่ำหวอดในวงการบริหารเงินจึงได้มารวมตัวกันเฉลยเป็นแนวทางในงานสัมนาเรื่อง "จัดพอร์ตปลอดภัย ทำกำไรอัตโนมัติ"

ธีรพันธุ์ จิตตาลาน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กรุงไทย มองว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP)ปีนี้คงสู้ปีที่แล้วไม่ได้ จากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นทำให้การส่งออกลดเนื่องจากประเทศเราพึ่งด้านนี้ค่อนข้างมาก อีกทั้งเรื่องระเบิดที่เกิดขึ้นซึ่งก็ทำให้การบริโภคลดลง รวมถึงการลงทุนในปีที่ผ่านมาที่มีทิศทางว่ากำลังจะไปได้ดีก็เกิดมาตรการ30% ทำให้ชะงักกันไป แต่การมีรถไฟฟ้าและมีการใช้จ่ายภาครัฐงบขาดดุล 1.4แสนล้านทำให้ดูดีขึ้นมาบ้าง คาดว่าโดยรวมGDPก็น่าจะเติบโตอยู่ในระดับ3%กว่า

ในด้านของอัตราดอกเบี้ยปีที่ผ่านๆมาแบงก์ชาติก็ได้มีการปรับขึ้นมาแรงมาก ทำให้ปีนี้ต้องลดลงมาให้เหมาะสมกับภาวะตลาดเช่นกัน ซึ่งปีนี้คงจะได้เห็นเงินเฟ้อลง ดอกเบี้ยลง

ขณะที่ปัจจัยภายนอกตอนนี้เงินดูเหมือนท่วมโลก เงินย่อมจะหาที่ไปซึ่งให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า จนในปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวต่ำกว่าผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นแล้ว

ส่วนปัจจัยโลกไม่ค่อยมีอะไรน่าเป็นห่วงนอกจาก เรื่องอิหร่าน เกาหลีเหนือ ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐก็น่าจะชลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป(Soft Landing)แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ปัจจุบันไทยก็มีตลาดอนุพันธ์(Futures)แล้ว ทำให้นักลงทุนสถาบันที่มีหุ้นจำนวนมากไม่จำเป็นต้องขายหุ้นเวลาตลาดหุ้นตก แต่เปลี่ยนไปเป็นชอร์ต Futuresแทน ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงได้มาก

สำหรับหุ้นที่ขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเป็นเพราะฝรั่งซื้อ "Index " ไม่ได้ซื้อหุ้นโดยตรง แต่เป็นผู้ที่ออกIndex ค่อยเอาเงินมาซื้อหุ้นบลูชิพตัวใหญ่ๆในประเทศอีกทีหนึ่ง

"โดยสรุปรวมแล้วปัจจัยดีมากๆโลกนี้มันอยู่ในภาวะเข้าสู่สมดุลแล้ว ขณะที่ตลาดหุ้นไทยก็อยู่ในสภาพที่ลงทุนได้"

ด้าน จักรกฤษณ์ อุทโยภาศ ในฐานะรองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซิกโก้ คาดการณ์ว่า กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ปีนี้จะมีการเติบโต 4-5% ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงน่าจะส่งผลทำให้ผลผลตอบแทนเฉลี่ยจากการลงทุนในหุ้นทำได้ถึง 12% และจากค่า P/E(ราคาต่อกำไรสุทธิ) ของตลาดปัจจุบันอยู่ที่ 8 เท่า เมื่อเทียบกับผลตอบแทนจากพันธบัตร10 ปี ที่ให้ดอกเบี้ย 4.5% จะเห็นได้ว่ามีส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนหุ้นและพันธบัตรอยู่ 6-8% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย

แต่ค่า P/E ที่ 8 เท่ากว่าๆก็ไม่ได้หมายความว่าถูกเสมอไป เพราะการลงทุนในหุ้นคือการซื้ออนาคต แม้ปัจจุบัน บจ.ต่างๆจะมีกำไรจากการประกอบการบ้าง แต่ไม่ได้เติบโตมาก โดยเฉลี่ยก็ประมาณ 4-5% เทียบกับตลาดเพื่อนบ้านเช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ที่กำไรมีอัตราการเติบโตมากกว่า10% แล้วถือว่าเราเป็นรองอยู่ค่อนข้างมาก แต่ที่หุ้นไทยไม่ได้ลงมากไปกว่านี้เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่งอยู่ หากไม่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายมากนัก ปัจจัยการเมืองนิ่งไม่มีเหตุการณ์ในเชิงลบ ไม่มีเหตุระเบิดอีก รวมถึงจากสภาพคล่องของโลกล้นก็จะส่งผลให้เม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในแถบเอเซียรวมถึงตลาดหุ้นไทยมากขึ้น และคาดการณ์ว่าในปี 2551 กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนอาจจะเพิ่มขึ้นได้ถึง 10% ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนทยอยเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส3-4 เพื่อรอรับผลตอบแทนที่ดีในปีถัดไป เป็นไปได้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้อาจไปได้ถึง 900 จุด

"อัตราการเจริญเติบโต(Growth)อาจไม่เห็นในปีนี้แต่จะเห็นได้ในปีหน้า ดังนั้นจึงควรจะทยอยเริ่มเข้าไปเก็บได้แล้วตั้งแต่ช่วงปีนี้เป็นต้นไป"

สำหรับหุ้นกลุ่มที่บริษัทแนะนำลงทุนและมีความเสี่ยงน้อยที่สุดในการลงทุน คือ หุ้นกลุ่มที่อยู่อสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูปัจจัยประกอบให้ดีด้วยไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำมันที่เชื่อมโยงด้านระยะการเดินทางซึ่งอาจปรับตัวขึ้นได้ รวมถึง อัตราดอกเบี้ยมีการปรับตัวลดลง ส่งผลให้อำนาจการซื้อบ้านมีการสูงขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดว่ากำไรในปี 2551 จะมีการเติบโตเพิ่มขึ้น 10% ค่าP/Eจะอยู่ที่ 9-11 เท่า ซึ่งเป็นช่วงขาขึ้น แต่ต้องเลือกลงทุนในแบงก์ที่จัดการตัวเองเสร็จแล้วเท่านั้น โดยจากเดิมที่เคยอยู่ในฐานะทำกำไรรับเงินฝาก เปลี่ยนเป็นผู้ทำกำไรจากการให้บริการแทน สังเกตได้จากแบงก์ชั้นนำสมัยนี้ต่างก็มีรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยซึ่งจะสูงขึ้นทุกๆปี นอกจากนี้ก็ยังมีหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่น่าสนใจ เพราะการเติบโตของผลประกอบการที่ดีจากชาวต่างประเทศมั่นใจที่จะเข้ามารักษาพยาบาลมากขึ้น

ขณะที่ สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ. วรรณ ได้ให้แนวทางในการลงทุนจัดพอร์ตให้ปลอดภัยในชั้นต้น ว่าเหมือนกับการจัดกองทัพให้สมดุลที่ ควรจะมีการกระจายกันไปทั้ง หุ้น พันธบัตร และเงินฝาก ตามอัตราเสี่ยงที่เรายอมรับได้ แม้ว่าหุ้นจะมีความเสี่ยงมากที่สุดก็ตามแต่ในระยะยาวแล้วหากได้ศึกษาสถิติของตลาดหุ้นสหรัฐหรือไทยก็ตามก็จะพบว่าหุ้นก็จะให้ผลตอบแทนสูงกว่า

"หากจัดกองทัพซึ่งมีสมดุลที่ดี สอดคล้องกับเวลาที่ดี ก็สามารถจะให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้ลงทุนได้"

วิธีหนึ่งที่จะทำให้เงินลงทุนเติบโตอย่างต่อเนื่อง และลดเสี่ยงในแต่ละจังหวะลงทุนที่ดีอย่างหนึ่ง คือ ลงทุนแบบ "อัตโนมัติ" หรือลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Averaging-DCA) ซึ่งหากผู้ลงทุนใช้วิธีลงทุนโดยใส่เงินทุกๆ เดือนเท่าๆ กันต่อเนื่องหลายๆ ปี แม้ไม่รู้จังหวะเข้าลงทุน ก็ยังทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จ ทำให้เงินเติบโตได้

วิธีการลงทุนแบบอัตโนมัตินี้ จะช่วยแก้ปัญหาผู้ที่ไม่มีเวลาพิจารณาการลงทุน ไม่จำเป็นต้องเลือกจังหวะที่จะเอาเงินไปลงทุนทั้งก้อนและเป็นการแก้ปัญหาไม่มีเงินเหลือเก็บให้ลงทุน เพราะจะเป็นการออมก่อนใช้โดยเงินลงทุนอัตโนมัติทุกๆ เดือน

ขณะที่การจัดพอร์ตอีกรูปแบบหนึ่งในช่วงเวลาและสถานการณ์แบบนี้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันทั้งในแง่ความเสี่ยงและผลตอบแทน ธีรพันธุ์ จิตตาลาน แนะนำว่า ควรแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 6 ส่วนด้วยกันคือ เงินส่วนแรกซึ่งคิดเป็นน้ำหนัก 10% ควรนำไปซื้อกองทุนเปิดตลาดเงินระยะสั้น(Money market fund) แม้ผลตอบแทนจะเริ่มมีทิศทางลดลงตามภาวะดอกเบี้ย แต่ก็ยังให้ผลตอบแทนได้สูงกว่าการฝาเงินในธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นในเรื่องของสภาพคล่องที่สามารถไถ่ถอนได้ทุกวันอีกด้วย

ส่วนต่อมาอีก 20-30% ให้แบ่งไปลงทุนในกองทุนเปิดตราสารหนี้ระยะกลาง ที่มีอายุเฉลี่ย 12-18 เดือน ซึ่งจะให้ผลตอบแทนระหว่าง 4-6% ต่อปี โดยอายุของตราสารที่ยาวขึ้นนี้ก็จะเท่ากับเป็นการล็อกผลตอบแทนให้อยู่ในระดับคงที่สวนทางกับทิศทางดอกเบี้ยที่เป็นขาลง

เงินส่วนที่สามอีก 20% ก็ให้นำไปซื้อกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากกองทุนประเภทนี้สามารถให้ผลตอบแทนเฉลี่ยได้ถึง 6-10% ต่อปี โดยควรซื้อกองทุนที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เพราะจะได้ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่ราคาหน่วยลงทุนจะปรับขึ้นขายทำกำไรได้อีกด้วย

ขณะที่เงินอีก 20-30% ก็ควรแบ่งมาลงทุนในหุ้น เพราะมองว่าเป็นจังหวะที่ดีหากเมื่อใดที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมากๆ ก็จะเป็นจังหวะเหมาะที่ถึงเวลาเข้าซื้อ โดยเชื่อว่าในช่วงไตรมาส 3-4 นี้ ตลาดหุ้นจะกลับมาดีอีกครั้ง หลังจากการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ส่วนตลาดตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากดอกเบี้ยที่ปรับตัวลง แต่หากซื้อกองทุนรวมหุ้น ก็ให้เลือกซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพราะนักลงทุนจะได้รับส่วนลดหย่อนภาษีได้อีก 20-30% บวกกับมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 10-15% ต่อปี โดยก่อนจะตัดสินใจก็ควรจะศึกษาหนังสือชี้ชวนก่อน และควรเลือกกองทุนหุ้นที่ลงทุนใน ตราสารอนุพันธ์ ร่วมด้วย เนื่องจากจะช่วยป้องกันความเสี่ยงได้ในภาวะที่ตลาดหุ้นเป็นขาลงได้

เงินส่วนที่สี่อีก 10%ให้นำไปลงทุนในหุ้นกู้ที่มีคุณภาพชั้นดี โดยตราสารประเภทนี้มีจำนวนมากให้ผู้ซื้อสามารถเปรียบเทียบเลือกซื้อได้ และให้ผลตอบแทน 5-7% ต่อปี แต่สิ่งสำคัญคือต้องคัดเลือกหุ้นกู้ที่มีเครดิตเรทติ้งชั้นดี

ส่วนเงินสุดท้ายอีก 10% ที่เหลือให้แบ่งไปลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) เป็นทางเลือกที่ผู้ลงทุนสามารถที่จะเลือกที่จะกระจายความเสี่ยงออกไปได้อย่างดี โดยประเภทของกองทุน FIF ที่น่าสนใจคือกองที่มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน( FX) เพื่อปิดความเสี่ยง เพราะมองว่ามีโอกาสที่สหรัฐอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ผลที่ตามมาจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง ก็จะทำให้เกิดความเสี่ยงได้เมื่อกองทุนต้องแลกเปลี่ยนค่าเงินเป็นสกุลบาท

การจัดพอร์ตให้ปลอดภัยนั้นฟังดูเหมือนไม่น่าจะมีการลงทุนในหุ้นเข้าไปเกี่ยวข้องได้เลย แต่จริงๆแล้วหากใช้วิธีการที่ถูกต้อง เลือกได้ถูกตัว ถูกจังหวะและเวลา ก็สามารถจะเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยและทำกำไรได้ดี


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.