|
ดัชนีตลาดหุ้นสัปดาห์หน้าจ่อแตะ660จุด
ผู้จัดการรายวัน(9 มีนาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
บล.ไซรัส ชี้กลางสัปดาห์หน้าดัชนีตลาดหุ้นไทยจ่อหลุด 660 จุด เหตุต่างชาติขายต่อเนื่องกังวลการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่นเรื่องอัตราดอกเบี้ย 19-20 มี.ค.นี้ ระบุฝรั่งหันทิ้งหุ้นไทยดักซื้อเงินเยน เชื่อปีนี้เม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยปีนี้ต่ำกว่าปี49 เหตุไร้แรงจูงใจ บล.ธนชาต เชื่อหุ้นรูดต่ออีก 1 เดือนหลังพฤติกรรมปรับพอร์ตต้องใช้เวลา 4-6 สัปดาห์ ขณะที่ยอดขายตปท.สุทธิ 4 วันที่ผ่านมาเฉียด 2 พันล้านบาท
วานนี้(8 มี.ค.)บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ SYRUS จัดสัมมนาเรื่อง "ลงทุนให้ได้กำไร ท่ามกลางการเก็งกำไรของ Hedge Fund" นางสาวสิริณัฏฐา เตชะศิริวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ SYRUS เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะมีการปรับตัวลดลงอยู่ที่ 660 จุด ในช่วงกลางสัปดาห์หน้า ก่อนที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะประชุมในวันที่ 19-20 มีนาคมนี้
เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศมีการชะลอการลงทุน เพื่อรอความชัดเจนว่าธนาคารญี่ปุ่นจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ โดยเชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศจะมีการขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ หากธนาคารกลางญี่ปุ่นไม่ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้จะส่งผลดีทำให้เม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเยนต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยสกุลอื่นมากซึ่งจะทำให้มีการเก็งกำไรลักษณะ Yen Carry Trade คือ การที่นักลงทุนมีการขายเงินสกุลหนึ่งที่มีดอกเบี้ยต่ำเพื่อไปซื้อเงินสกุลอื่นซึ่งจะได้กำไรจากส่วนต่างของค่าเงินและกำไรจากส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของสินทรัพยที่ลงทุน
อย่างไรก็ตาม หากกธนาคารญี่ปุ่นมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้นักลงทุนมีการขายหุ้นและสินทรัพย์ในประเทศอื่นเพื่อกลับไปซื้อเงินเยนที่มีการขายไว้ในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบทำให้ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลง บริษัทคาดว่าเม็ดเงินต่างประเทศที่จะเข้ามาซื้อสุทธิลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้จะต่ำกว่าปี 2549 ที่มีนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 83,400 ล้านบาท เนื่องจากแรงจูงใจที่จขะดึงดูดนักลงทุนเข้ามาลงทุนนั้นลดลง จากการกำไรส่วนต่างจากอัตราดอกเบี้ยและส่วนต่างของค่าเงินลดลง
นางสาวสิริณัฏฐา กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศส่วนหนึ่งมีการขายหุ้นไทยออกมาซึ่งเป็นกลุ่มนักลงทุนเก็งกำไร เนื่องจากยังไม่มีความมั่นใจในเรื่องการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่นจะมีการปรับเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่และจากการที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นในไตรมาส4/49 โตกว่าที่คาดซึ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นที่จะให้ทางธนาคารญี่ปุ่นมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นักลงทุนที่กังวลจึงจำเป็นที่จะต้องขายหุ้นออกมาก่อนเพื่อไปซื้อเงินเยนหากมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้เงินเยนมีการแข็งค่าขึ้น
สำหรับปัจจัยในเรื่องอัตราดอกเบี้ยญี่ปุ่นซึ่งจะมีผลต่อการปรับกลยุทธ์การลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศนั้น
บริษัทจึงแนะนำให้นักลงทุนหันมาเพิ่มการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กและหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง มากกว่าการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ โดยบริษัทแนะนำลงทุนในหุ้น บริษัทเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)MAJOR บางสะพานบาร์มิล จำกัด (มหาชน) หรือ BSBM บริษัท ไดนาสตี้ เซรามิค จำกัด (มหาชน)หรือ DCCบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ SAMART และบริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ VNG เนื่องจาก หุ้นดังกล่าวจะให้ผลตอบแทนจากการลงทุน15%ขึ้นไป และเป็นหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง
ทั้งนี้ เมื่อต้นปีบริษัทได้รับประการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ 750 จุด มีค่าP/E 9 เท่า จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 800 จุด และคาดกำไรบริษัทจดทะเบียนปีนี้จะลดลง 2.8% จากปัจจัยทางการเมืองและเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯและความสงบใน3 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งจะต้องมีการติดตามว่าหลังจากปรับคณะรัฐมนตรีจะเป็นอย่างไร และจากการที่ธปท.มีการผ่อนมาตรการ30% สำหรับเงินลงทุนระยะสั้นในตราสารหนี้และกองทุนรวมที่มีการประกันความเสี่ยงล่วงหน้า นั้นจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไม่มากนัก ฯลฯ
ตลาดซึมตปท.ขายเพิ่ม
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด กล่าวว่า การขายของนักลงทุนต่างชาติในช่วงที่ผ่านมาเป็นการขายของนักลงทุนเก็งกำไร (เฮจฟันด์) ที่ต้องการปรับพอร์ตในตลาดหุ้นเกิดใหม่เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดหุ้นขนาดใหญ่หลายแห่ง
ทั้งนี้ พฤติกรรมการปรับพอร์ตลงทุนของนักลงทุนต่างชาติจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4-6 สัปดาห์ ซึ่งลักษณะดังกล่าวสำหรับตลาดหุ้นไทยเพิ่งเกิดขึ้นมาเป็นสัปดาห์ที่ 2 ทำให้อาจจะต้องเห็นการปรับพอร์ตลงของนักลงทุนกลุ่มเก็งกำไรอย่างต่อเนื่องต่อไปอีกระยะ โดยทำให้ตลาดหุ้นอาจจะปรับตัวลดลงไปอีกจนกว่าความมั่นใจจะกลับมา
นอกเหนือจากการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติ ตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนนี้ยังได้รับแรงกดดันตามทฤษฎีเพราะมีการประกาศจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนงวดปี 49 ซึ่งการขึ้นเครื่องหมาย XD น่าจะทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงได้ประมาณ 2% หรือประมาณ 15-20 จุด
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลดลงของราคาหุ้นหลายบริษัทหากพิจารณาเป็นรายบริษัทมีหุ้นหลายบริษัทที่น่าสนใจที่จะเข้าไปถือลงทุน เพราะราคาปรับตัวลดลงต่ำกว่าราคาพื้นฐานค่อนข้างมาก ขณะที่ผลตอบแทนที่จะได้รับจากเงินปันผลก็สูงขึ้นหลังจากราคาหุ้นปรับตัวลดลง
หุ้นนิ่งไร้ปัจจัยใหม่หนุน
ภาวะการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (8 มี.ค.) ตลอดทั้งวันดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ในแดนบวกก่อนปิดที่ 671.98 จุด เพิ่มขึ้น 1.61 จุด หรือ 0.24% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 673.15 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 671.03 จุด มูลค่าการซื้อขาย 6,808.41 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 502.01 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 113.85 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 615.86 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องกันเป็นวันที่ 4 วันทำการรวมกว่า 1,948 ล้านบาท
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี จำกัด กล่าวว่า วานนี้ดัชนีตลาดหุ้นแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยดัชนีสามารถยืนอยู่ในแดนบวกได้ทั้งวันจากแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานเนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่มูลค่าการซื้อขายมีเข้ามาเบาบาง เนื่องจากนักลงทุนรอดูนโยบายเศรษฐกิจจากกระทรวงการคลังในการประชุมวันนี้
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในวันนี้คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ เพราะยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาสนับสนุนการลงทุน และยังคงต้องจับตาดูปัจจัยต่างประเทศในการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในคืนวันศุกร์ที่ 9 มีนาคม2550นี้ โดยประเมินแนวรับที่ 665-670 จุด และแนวต้านที่ 675-680 จุด
นางสาวศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้นักลงทุนต่างประเทศยังไม่ได้สัญญาณจะทิ้งหุ้นไทย เนื่องจากยังคงต้องรอความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศอีกครั้ง
"เราเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติยังไม่ทิ้งหุ้นไทย แต่ยังรอดูความชัดเจนจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคนใหม่ในการสานต่อนโยบายเศรษฐกิจก่อน"นางสาวศศิกร กล่าว
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธการลงทุนสายงานวิจัย บล. เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติยังรอดูมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล โดยเฉพาะมาตรการกันเงินสำรอง 30% หากยังไม่ยกเลิกมาตรการดังกล่าวจะส่งผลลบต่อตลาดหุ้น เพราะไม่มีปัจจัยที่เป็นแรงดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันหากมีการยกเลิกมาตรการแล้ว แค้ไม่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วานนี้นักลงทุนชะลอการลงทุน เพื่อรอจังหวะเข้ามาซื้อหุ้นที่มีการจ่ายปันผลที่เริ่มทยอยประกาศออกมาภายในเดือนนี้ ส่งผลให้มีมูลค่าการซื้อเขาเบาบาง รวมถึงรอดูการแถลงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล หลังจากมีการแต่งตั้งรมว.คลังคนใหม่
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|