ยูนิ-ชาร์มรุกทุกแนวรบฮุบตลาดซึมซับระดับโลก


ผู้จัดการรายสัปดาห์(5 มีนาคม 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

ยูนิ-ชาร์ม ขยับเป้าหมายสู่ผู้นำตลาดซึมซับระดับโลก ชูนโยบายเร่งกระตุ้นการใช้สินค้าทุกไลน์ โดยรุกขยายตลาดต่างจังหวัดเพิ่มความถี่การใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็กต่อเนื่อง ดันไทยทุบสถิติโลกมีแชร์สูงสุด 70%ภายในสิ้นปี ด้านตลาดผ้าอนามัย เพิ่มพฤติกรรมหญิงใช้ผ้าอนามัยชนิดกลางคืน เพื่อดันมูลค่ายอดขาย หลังพบมีสัดส่วนการใช้เพียง 38% การบุกของยูนิ-ชาร์มในปีนี้ หวังว่าจะโกยแชร์เพิ่มจาก 6% เป็น 10% ในตลาดซึมซับระดับโลก

หลังจากที่ยูนิ-ชาร์มสามารถขึ้นเป็นผู้นำตลาดในหลายสินค้า อาทิ ตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็ก ที่มีแบรนด์ "มามี่ โพโค" เป็นผู้นำด้วยแชร์กว่า 66% แบรนด์ "โซฟี" ผู้ฮุบบัลลังก์ผ้าอนามัยด้วยส่วนแบ่ง 45% ขณะที่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปผู้ใหญ่ "ไลฟ์รี่" ที่ตอนนี้เป็นเบอร์ 2 มีแชร์กว่า 20% ก็กำลังไล่กวดเบอร์ 1 อย่าง "เซอร์เทนตี้" อย่างเต็มที่ โดยหวังว่าจะขึ้นเป็นผู้นำในตลาดนี้เช่นกัน

จากผลงานที่น่าพอใจดังกล่าว นับจากนี้ เป้าหมายของยูนิ-ชาร์มจึงขยับสู่การเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์ซึมซับระดับโลก ด้วยการผลักดันสินค้าซึมซับทั้ง 3 กลุ่ม ที่ยูนิ-ชาร์มมีความถนัดให้มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น หรือมีการเติบโตมากกว่าภาพรวมของแต่ละตลาด ภายใต้งบการตลาดรวมกว่า 300 ล้านบาท มากกว่าปีก่อน 5% เพื่อใช้ในการจัดโปรโมชั่น และกิจกรรมส่งเสริมการขาย รวมทั้งพัฒนาการใช้สินค้าของผู้บริโภคด้วย

เริ่มตั้งแต่ตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็กมูลค่า 4,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ผ้าอ้อมชนิดแถบเทป 68% ผ้าอ้อมชนิดกางเกง หรือแพ้นท์ 32% แม้ว่ามามี่โพโคจะสามารถครองแชมป์ด้วยแชร์ 66% ซึ่งห่างจากคู่แข่งรายอื่นหลายช่วงตัวก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ไดร์เพอร์ส ที่มีแชร์เพียง 10% หรือแพมเพอร์สอดีตผู้นำตลาดก็เหลือแชร์เพียง 1% เท่านั้น ทำให้บรรดาผู้เล่นเหล่านี้ไม่อยู่ในสายตาของมามี่โพโคอีกต่อไป

แต่จากภาพรวมตลาดที่ยังเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากอัตราการใช้ในปัจจุบันยังไม่ครบ 100% โดยกรุงเทพฯใช้เพียง 50% ต่างจังหวัด 30% ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวันที่มีการใช้ 100% แล้ว ดังนั้น ยูนิ-ชาร์มจึงเร่งกระตุ้นพฤติกรรมการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็กให้มากขึ้น โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ซึ่งค่ายนี้หันมาบุกตลาดนี้มากขึ้นตั้งแต่ปีก่อน หลังจากที่เริ่มเอดดูเคทผ่านช่องทางโรงพยาบาลมาหลายปี

ด้วยการนำสินค้าขนาดเล็ก เช่น ขนาด 4 ชิ้น, ขนาด 20 ชิ้น เข้าไปกระตุ้นให้เกิดการทดลองใช้ก่อน ซึ่งได้การตอบรับเป็นอย่างดีทั้ง 2 ขนาด โดยวัดจากยอดขายในกลุ่มต่างจังหวัดที่เพิ่มขึ้นกว่า 5% จากเดิมที่มีสัดส่วนอยู่ 50% ซึ่งยูนิ-ชาร์มตั้งเป้าจะให้สัดส่วนของต่างจังหวัดเพิ่มเป็น 65% ภายใน 3 ปี ด้วยการเอดดูเคทผู้บริโภคให้มีพัฒนาการใช้สินค้าเหมือนผู้บริโภคในกรุงเทพฯ เช่น จากการใช้สินค้าขนาดเล็กก็เพิ่มเป็นสินค้าขนาดใหญ่ เช่น ขนาด 40 ชิ้น หรือผู้ที่ใช้แบบแถบกาวก็พัฒนามาใช้เป็นชนิดกางเกง ซึ่งยูนิ-ชาร์มคาดว่าจะทำให้มามี่โพโคมีส่วนแบ่งเพิ่มเป็น 70% ภายในปีนี้ และด้วยตัวเลขนี้ก็จะทำให้ค่ายนี้สามารถทำสถิติเป็นผู้นำผ้าอ้อมเด็กในตลาดโลกได้

"ปีนี้คาดว่าแบรนด์มามี่โพโคจะมีแชร์ 70% ซึ่งจะเป็นสถิติโลกของการเป็นผู้นำตลาดที่มีแชร์สูงสุด ซึ่งเป็นเป้าหมายของบริษัทที่ยังไม่เคยมีประเทศใดเคยทำได้มาก่อน" เป็นคำกล่าวของ ดำรงค์ ปิยะนิจดำรงค์ กรรมการบริหาร บริษัท ยูนิ-ชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปมามี่โพโค ผ้าอนามัยโซฟี และผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่ไลฟ์รี่

สำหรับตลาดผ้าอนามัยมูลค่า 3,600 ล้านบาท ที่มีการเติบโตราว 2% เนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็นที่มีการใช้ครบ 100% โดยโซฟีเป็นผู้นำมีส่วนแบ่ง 45% รองลงมาคือ ลอริเอะ 30% ซึ่งการทำตลาดตอนนี้ยูนิ-ชาร์มหันมากระตุ้นผู้บริโภคให้ใช้ผ้าอนามัยตามช่วงเวลามากขึ้น เพราะจากการสำรวจ พบว่า ผู้หญิง มีการใช้ผ้าอนามัยชนิดกลางวัน 62% ส่วนชนิดกลางคืนมีเพียง 38% ทั้งนี้เพื่อเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น เนื่องจากผ้านามัยชนิดกลางคืนมีราคาสูงกว่าชนิดกลางวัน รวมทั้งจะมีนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆมาสนองความต้องการของผู้บริโภค

"ผ้าอนามัยชนิดกลางคืน ทำให้แชร์โซฟีเพิ่มขึ้น รวมทั้งเพิ่มมูลค่าด้านยอดขายด้วย"

ขณะที่ตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปผู้ใหญ่ มูลค่า 500 ล้านบาท ที่มีการเติบโตมากกว่า 20% ยูนิ-ชาร์ม ก็มีแบรนด์ "ไลฟ์รี่" เป็นเบอร์ 2 ในตลาดมีแชร์ 20% รองจากเซอร์เทนตี้ที่มีแชร์อยู่ 50% แม้ว่าส่วนแบ่งตลาดยังห่างจากผู้นำกว่าครึ่ง แต่ยูนิ-ชาร์มก็พยายามผลักดัน จัดโปรโมชั่น และกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อกระตุ้นการใช้ของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อว่าตำแหน่งแชมป์ของตลาดนี้ไลฟ์รี่ก็หวังจะครอบครองเช่นกัน เพื่อเป็นอีกขาหนึ่งในการอุ้มยูนิชาร์มขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำตลาดซึมซับระดับโลกในอนาคต

เมื่อยูนิ-ชาร์ม หมายจะผนึกส่วนแบ่งตลาดทั้ง 3 กลุ่มสินค้า เพื่อขยับตำแหน่งขึ้นสู่ผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ซึมซับระดับโลก เป้าหมายที่ถูกวางไว้ครั้งนี้ ยูนิ-ชาร์มจะคว้ามาได้เป็นผลสำเร็จหรือไม่ และเมื่อไหร่คงต้องติดตามกันต่อไป แต่ที่แน่ๆปีนี้คงต้องลุ้นกันก่อนว่า ยูนิ-ชาร์มจะเพิ่มการเติบโตของยอดขายรวมได้ 30% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 7,500 ล้านบาทรวมทั้งดันแชร์ในตลาดโลกจาก 6% เป็น 10% ตามเป้าที่วางไว้ได้หรือเปล่า


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.