|
โบว์ดำหุ้น-บาทเจ๊งล้านล้าน
ผู้จัดการรายวัน(1 มีนาคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
การตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งของรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ที่ชื่อปรีดิยาธร เทวกุล แบบสายฟ้าแล่บก่อนเที่ยงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2550 หากดูผิวเผินคงเป็นข่าวร้ายที่สร้างความตื่นตระหนกและกระเทือนรัฐบาลสุรยุทธ์ แต่หากยึดจากผลงานที่ผ่านมาเป็นหลัก จะพบว่า การไม่มี ม.ร.ว.ปรีดิยาธรร่วมรัฐบาล ยิ่งดีกว่า เพราะความเสียหายของชาติจะไม่บานปลายไปมากกว่าที่ผ่านมา...
ไม่น่าเชื่อว่าในเวลาไม่ถึง 5 เดือน เศรษฐกิจประเทศไทยภายใต้การกำกับดูแลของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรเศรษฐกิจเจ๊งไปแล้ว 1 ล้านล้านบาท!!!
เป็นความเสียหายที่เกิดจากการที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหรือมาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นลดลงวันเดียว 8.2 แสนล้านบาท และการขาดทุนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการแทรกแซงค่าเงินบาทอีก 1.73 แสนล้านบาท ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
ผู้บริหารในกระทรวงการคลังให้ภาพย่อผลงาน ม.ร.ว.ปรีดิยาธรในช่วงที่ผ่านมาว่า "การออกมาตรการกันสำรองเงินนำเข้า 30% กับการแทรกแซงค่าเงินบาทสมัยเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติต่อเนื่องมาถึง รมว.คลัง ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์ดำที่คุณชายอุ๋ยไม่อาจปฏิเสธ ทว่าไม่เฉพาะด้านเศรษฐกิจเท่านั้น ด้านการเมืองคุณชายอุ๋ยเป็นนักการเมืองตัวยง เห็นได้ว่ามาตั้งแต่รัฐบาลสุรยุทธ์ยังไม่ตั้งไข่ ไม่ว่าล๊อบบี้โผ ครม.หรือปล่อยข่าวโผส่วนตัวผ่านสื่อมวลชนหรือการพูดคุยกับนายกฯ คนเดียว ไม่เห็นหัวรัฐมนตรีคนอื่น ส่วนด้านสังคมยิ่งชัดเจนเรื่องหวยบนดิน แม้ยังผลักดันให้หวยบนดินกลับมาไม่ได้ แต่สร้างแรงกระเพื่อมให้ประชาชนระดับล่างมองว่าหวยบนดินเป็นสิ่งถูกต้อง เพราะคนระดับรัฐมนตรียังสนับสนุน จนมีม๊อบสนับสนุนมาที่กระทรวงการคลังไม่ต่ำกว่า 3 ครั้งในรอบ 4 เดือน ที่คุณชายอุ๋ยเป็นรัฐมนตรีคลัง"
**บทถนัดต้องมีวาระซ่อนเร้น
หลังการท่องนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงตามที่ พล.อ.สุรยุทธ์ได้วางแนวทางในการบริหารประเทศไว้ การออกมาตรการกันสำรองเงินนำเข้า 30% ได้ถูกวางแผนไว้อย่างแยบยลอิงแอบเศรษฐกิจพอเพียง เพราะหากชำแหละมาตรการ 30% พบว่า นำไปสู่เหตุการณ์ “อังคารทมิฬ” เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 เป็นประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมา 33 ปี มีคนได้กำไรจากตลาดหุ้นวันเดียว 5 พันล้านบาท เป็นจำนวนเงินที่สามารถใช้เป็นทุนตั้งพรรคการเมืองได้
"ดัชนีการซื้อขายหุ้นไทยวันนั้นปรับตัวลดลงมากที่สุดถึง 108.41 จุดและต้องใช้ระบบพักการซื้อขายอัตโนมัติถึง 2 ครั้งโดยดัชนีหุ้นลดลงต่ำสุดถึง 142.63 จุด ปริมาณการซื้อขายในวันนั้นสูงถึง 72,131.55 ล้านบาท มองผิวเผินเหมือนกับการพยุงค่าเงินและลดความสำคัญของเงินทุนต่างชาติตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง แต่กลับมีข้อสงสัยในผลประโยชน์จากการขึ้นลงของดัชนีมูลค่ามหาศาล การซื้อขายหุ้นจากกลุ่มนักลงทุนที่ล่วงรู้ข้อมูลล่วงหน้าจากผู้มีอำนาจวันเดียว 3 รอบ กำไร 5 พันล้าน โหดร้ายมากเมื่อแลกกับการขาดทุนของนักลงทุนรายย่อยกว่าหมื่นล้าน และส่งผลให้มูลค่าตลาดลดลงถึง 8 แสนล้าน"
วาระซ่อนเร้นเพื่ออำพรางดังกล่าวพิสูจน์ชัดว่า นอกจากการมีกลุ่มใกล้ชิดผู้มีอำนาจช่วยกันทำกำไรจากตลาดหุ้นแล้ว ยังหวังผลให้ค่าเงินบาทไม่แข็งค่าไปกว่า 35 บาทต่อดอลลาร์ โดยอ้างว่าช่วยเหลือผู้ส่งออกทั้งๆ ที่วัตถุประสงค์หลักเพื่อกลบความเสียหายในการใช้เงินบาทแทรกแซงค่าเงิน โดยการเข้าซื้อดอลลาร์ตลอดทั้งปี 2549 ปรากฏว่าผลการดำเนินงานของแบงก์ชาติปี 2549 มีผลขาดทุน 1.73 แสนล้านบาท เป็นตัวเลขที่เกิดจากการบริหารทุนทำหน้าที่ของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรเมื่อปีที่ผ่านมา ต่อเนื่องถึงตำแหน่ง รมว.คลัง ในช่วงปลายปี
**กม.ต่างด้าว...มาตรการซ้ำเติม ศก.
ต้องยอมรับว่าหลัง การยึดอำนาจการปกครองรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ที่ภายหลังได้แปรสภาพมาเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ม.ร.ว.ปรีดิยาธรมีรัศมีเปล่งประกายถึงขนาดเป็นตัวเต็งที่จะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ รัศมีดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เกิดจากการวางแผนโดยใช้สื่อมวลชนเป็นเครื่องมือบวกกับความเป็นมืออาชีพในการสร้างภาพและโหนกระแสสังคม
หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ม.ร.ว.ปรีดิยาธรจึงได้รับความไว้วางใจจาก พล.อ.สุรยุทธ์และ พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน ประธาน คมช.ให้เป็นรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เพื่อดูแลนโยบายด้านเศรษฐกิจ จนได้
ทว่าภายหลัง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มีคำสั่งแต่งตั้งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นประธานคณะกรรมการประสานงานและกำชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพื่อทำหน้าที่ออกเดินสายชี้แจงทำความเข้าใจ ให้เกิดความสมานฉันท์เกิดความเชื่อมั่นขึ้นทั้งในและต่างประเทศเมื่อเดือนที่ผ่านมา เกิดคำถามจากหลายฝ่ายขึ้นมาว่าเหตุใดจึงดึงคนในระบอบทักษิณเข้ามาร่วมงานด้านเศรษฐกิจด้วย
ข้อกังขาขึ้นนั้นจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเกิดความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร...
ผลงานของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ด้วยการแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ที่เป็นผลกระทบมาจากการซื้อกิจการในเครือชินคอร์ปของกลุ่มเทมาเส็กที่มีการใช้คนไทยถือหุ้นแทนหรือนอมินี ทำให้บริษัทต่างชาติที่มีกิจการในประเทศไทยเกิดความกังวลและทวงถามความชัดเจนจากรัฐบาลไทย สร้างความระส่ำต่อภาพรวมเศรษฐกิจ
นี่คือส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ พล.อ.สุรยุทธ์ดึงนายสมคิดเข้ามาเป็นประธานคณะกรรมการประสานงานและกำชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศทั้งๆ ที่ควรจะเป็นหน้าที่ของรองนายกรัฐมนตรีที่ดูด้านเศรษฐกิจโดยตรงเพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กลับมาโดยเร็ว
เพราะการออกกฎหมายต่างด้าวครั้งนั้น ทำให้ พล.อ.สุรยุทธ์ต้องลงมือแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยตัวเอง โดยไปแสดงปาฐกถาต่อผู้แทนหอการค้าต่างประเทศและเอกอัครราชทูตจากประเทศต่างๆ กว่า 700 คน
**หวยบนดิน...ถึงขวางปราบโกง
การผลักดันหวยบนดินต้องขยายความอย่างยิ่ง เพราะสลากเลขท้ายแบบ 3 ตัว 2 ตัว หรือหวยบนดิน เป็นมรดกบาปในสังคมที่ตกทอดมาจากรัฐบาลทักษิณ ที่ยังวุ่นวายหาทางออกไม่ได้
เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าการออกหวยบนดินนั้นผิดกฎหมาย ม.ร.ว.ปรีดิยาธรก็พยายามผลักดันให้ถูกกฎหมายให้ได้เพราะคนไทยกว่า 30 ล้านคนนั่งใจจดใจจ่อรอรัฐบาลขิงแก่ผลักดันให้หวยบนดินผ่านสภาให้ได้
ครั้งแรกที่เสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ.2517 เข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ม.ร.ว.ปรีดิยาธรต้องรีบถอนกฎหมายดังกล่าวแทบไม่ทันเพราะโดน สนช.ถล่มยับหวั่นจะเป็นการล้างมลทินให้กับรัฐบาลทักษิณได้ แต่ก็ยังไม่ละความพยายามได้ส่งเรื่องให้กฤษฎีกาตีความแล้วปรากฎว่าไม่เป็นการล้างมลทินและรอโอกาสผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของ สนช.อีกครั้ง
นอกจากนี้ ตั้งแต่เข้ามารับหน้ากุนซือเศรษฐกิจ ก็เริ่มปกป้องนายศิโรมต์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร ในคดีทักษิณเลี่ยงภาษี ว่าไม่ผิด ต่อมานายศิโรตม์ถูกสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้ว่ามีความผิดทางอาญา ประพฤติชั่วร้ายแรง นอกจากนี้ยังมีเรื่องขัดแย้งกับคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้แก่กรณีคุณหญิงจารุวรรณ ได้ส่งหนังสือไปยังประธาน คมช.และนายกรัฐมนตรี กรณีผู้บริหารกระทรวงการคลัง 14 ราย นั่งเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจเกินกว่า 3 แห่ง เป็นการกระทำที่ขัดต่อต่อมาตรา 7 ของพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2518 และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2523 ม.ร.ว.ปรีดิยาธรถึงกับลมออกหูประกาศตัดพ้อคุณหญิงจารุวรรณว่าไม่ยอมโทรศัพท์มาคุยกับเขาโดยตรงเสมือนเป็นการกระทำที่ทำให้เขาเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง และได้ออกมาแก้ต่างว่าตำแหน่งต่างๆ ในรัฐวิสาหกิจนั้นเป็นการรับตามที่กฎหมายกำหนดหากไม่รับก็อาจมีความผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ได้
ไม่พอแค่นั้น เกี่ยวกับกรณีที่ คตส.ตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบกรณีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยาอดีตนายกร่วมประมูลซื้อที่ดินแปลงติดกับศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ถนนเทียมร่วมมิตร จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน สมัยที่ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เป็นผู้ว่าการแบงก์ชาติ ซึ่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 มีพฤติการณ์เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรก็ยืนยันว่าการซื้อขายที่ดินครั้งนั้นถูกต้องตามกฎหมายแน่นอน
วันนี้ คตส.ส่งศาลให้ดำเนินคดีที่ดินรัชดาฟากผู้ซื้อคือทักษิณและภรรยาไปแล้ว 2 กระทง ส่วนฟากผู้ขายคือกองทุนฟื้นฟูฯ ที่ในขณะนั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธรเป็นประธาน คตส.ยังไม่จับขึ้นเขียง
นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของผลงาน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร...
การตัดสินใจลาออกและการทิ้งบอมบ์รัฐบาล ในแบบฉบับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรครั้งนี้ น่าจะทำให้ พล.อ.สุรยุทธ์เห็นตัวตนและธาตุแท้ของรุ่นน้องเซ็นต์คาเบรียล ผู้ไต่เต้ามาจากอาชีพนายธนาคารว่า ช่างแตกต่างกับนายทหารสุภาพบุรุษนักรบ ยิ่งนัก
"ที่ (ลา) ออกมา รู้สึกว่ามีการปิดบังซ่อนเร้น คือมันไม่สมจริง ถ้าสมจริงต้องเอาดอกเตอร์สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา มาชี้แจงเศรษฐกิจพอเพียง คงสมจริง" 1ในคำพูดของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรที่ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลที่ลาออก วานนี้ (28 ก.พ.) นี่แหละคุณชายอุ๋ยตัวจริง
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|