|
สุเชาว์ ศิษย์คเณศ VAN GOGH เมืองไทย ของ กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร
ผู้จัดการรายวัน(19 มีนาคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
ถ้าเรายกให้ บุญชัย เบญจรงคกุล อดีตเจ้าพ่อดีแทค เป็นมือวางอันดับหนึ่งในการตัดริบบิ้นเปิดนิทรรศการศิลปะฝ่ายชาย ฝ่ายหญิงเราก็ควรยกให้ กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตชิบา ประเทศไทย จำกัด
เธอผู้นี้ถือได้ว่าเป็นผู้หนึ่งที่ให้การสนับสนุนวงการศิลปะมาโดยตลอด สืบต่อมาตั้งแต่สมัยคุณแม่ของเธอ (ท่านผู้หญิงนิรมล สุริยสัตย์) ที่ดำริชอบให้บริษัทฯ คืนกำไรสู่สังคมด้วยการจัดให้มีการประกวด “ศิลปกรรมนำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต”
ด้วยความสนใจศิลปะเป็นทุนเดิม ประกอบกับแต่ละเดือนและปี มีกิจกรรมให้ต้องเกี่ยวข้องกับการได้มา และซื้อมา(บ้าง) ซึ่งงานศิลปะ ทำให้ทั้งที่บ้านและที่ทำงานของเธอเวลานี้มีงานศิลปะติดอยู่มากมายหลายชิ้น ยังจะไม่เล่าถึงว่ามีงานของศิลปินไทยชื่อดัง คนไหนบ้างที่เธอมีครอบครองอยู่
แต่อยากจะเล่าถึงงานของศิลปินคนที่เธอชื่นชอบ แม้เธอจะมีงานของเขาติดอยู่ที่บ้านเพียงชิ้นเล็กและชิ้นเดียวเท่านั้น
เป็นชิ้นที่เธอติดเอาไว้ในห้องหนังสือ ผลงานของศิลปินผู้ล่วงลับ สุเชาว์ ศิษย์คเณศ ที่เธอยกให้เขาเป็น “VAN GOGH เมืองไทย” ด้วยความที่ได้รับรู้ว่าศิลปินสุเชาว์นั้นมีชีวิตที่ยากลำบากมาก ขณะดำรงชีวิตด้วยการเป็นคนทำงานศิลปะ
แน่นอนว่าสำหรับงานของศิลปินต่างประเทศนั้นเธอคลั่งไคล้ VAN GOGH เป็นนักหนา มิหนำซ้ำเธอยังยอมรับว่าเคยไปยืนร้องไห้อยู่หน้าภาพเขียนของ VAN GOGH มาแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่งานของศิลปินไทยเธอจะชอบสุเชาว์ ศิษย์คเณศ แต่เธอไปยืนร้องไห้อยู่หน้าภาพเขียนของสุเชาว์บ้างหรือไม่เธอไม่ได้บอก
“VAN GOGH เป็นศิลปินในดวงใจคนหนึ่งที่ชอบมาก ชอบเหลือเกินอะไรอย่างนี้ งานอาจารย์สุเชาว์ก็ชอบคล้ายๆกัน และก็เป็นงานที่ดีมาก ดิฉันภูมิใจเวลาที่ได้เห็นศิลปินไทยมีงานดีๆ และอีกอย่างดิฉันชอบงานสไตล์ที่เรียบแต่แรง Massage แรงๆ หลายคนอาจจะมองว่างานของอาจารย์มันไม่เห็นจะมีอะไรเลย แต่ดิฉันว่าไม่
อาจารย์ชอบมี Topic ง่ายๆ เช่นเรื่อง “บ้าน” อะไรอย่างนี้ แต่มันแรงมากเลยนะ มองภาพแก ดิฉันเองจะรู้สึกเลยว่าความหมายของบ้าน คุณจะไม่รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่ขนาดไหน จนกว่าคุณจะไม่มีบ้านอยู่ และบ้านก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นอะไรที่ใหญ่โต ถ้ามันเป็นแค่กระต๊อบ แต่ถ้ามันเป็นบ้านคุณมันก็มีความหมาย”
สมัยที่ยังไม่มีสตางค์ใช้จ่ายเพื่อซื้องานศิลปะ กอบกาญจน์เล่าว่า เธอมักจะแวะชมภาพเขียนของสุเชาว์เสมอ ในโอกาสที่มีจัดแสดง
“รู้สึกว่าตอนที่ไปดูจะเป็นงานชุด Visual Time อะไรอย่างนี้ แสดงอยู่ในร้านอาหาร ตอนนั้นหลายคนยังไม่รู้จักอาจารย์สุเชาว์เลย และเป็นช่วงที่แกยังขายงานไม่ได้ แต่ดิฉันชอบงานสุเชาว์ เพราะเหมือน VAN GOGH”
และเพราะความที่ชอบจริงไม่ใช่แกล้งชอบนี่แหล่ะที่ทำให้วันหนึ่งเธอได้ภาพของสุเชาว์มาครอบครอง แถมยังไม่ต้องจ่ายสตางค์สักแดงเดียว
“คุณอนุทิน ซึ่งภรรยาเขาเป็นน้องสาวของแฟนดิฉัน(พ.ต.อ. ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร) เขาเป็น Art Collector วันหนึ่งเขามาทานข้าวกันที่บ้าน และตอนนั้นเขาเพิ่งเริ่ม Collect งาน พอเขาพูดถึงเรื่องของศิลปิน ดิฉันก็เล่าให้เขาฟังว่า ผลงานของอาจารย์สุเชาว์ดิฉันชอบมาก เขาก็เลยให้คนรถวิ่งไปเอามาเลย เขาบอกว่าฟังดูแล้วเขารู้ว่าเรารักจริง เขาก็เลยปันมาให้ ภาพที่ได้มาไม่ทราบว่าชื่ออะไรเหมือนกัน คิดว่าเป็น “บ้าน”หรืออาจจะเป็นอะไรที่เกี่ยวกับพี่สาวของอาจารย์สุเชาว์ดิฉันไม่แน่ใจ”
ไม่ว่าจะเป็น หนังสือ ดนตรี หรือศิลปะ กอบกาญจน์เห็นว่าล้วนเป็นสิ่งที่มีคุณค่า สร้างให้คนเป็นคนที่สมบูรณ์ ไม่ใช่ขาดๆวิ่นๆ
“ดิฉันคิดว่าของพวกนี้มันไม่เกิดมากับตัว Art Appreciation ต้องสร้าง สมัยที่ดิฉันเด็ก ไม่ใช่อยู่ดีๆ ชอบ VAN GOGH และจำได้ว่ากว่าที่ตัวเองจะ Appreciate งานของปิกัสโซ่ ก็ตอนเรียนปี 2 เหมือนกับเราค่อยๆผ่านไปทีละสเต็ป
ดิฉันไปเห็นงาน PICASSO แล้วเริ่มรู้สึกว่าตัวเองค้นพบแล้วตอนที่ไปดูงานที่ MOMA (Museum of Modern Art) ตอนนั้นยังเรียนสถาปัตย์อยู่ที่ Rhode Island School of Design( รัฐโรดไอแลนด์ สหรัฐอเมริกา)แล้วครูก็ให้ไปดูงานที่นิวยอร์ก ตอนนั้นตั้งใจไปดูงานชิ้นชื่อ Starry Night ของ VAN GOGH และติดกันก็คืองานของ PICASSO จำชื่อไม่ได้เป็นงานดังมากเลย
ไปยืนอยู่เป็นชั่วโมง อยากรู้ให้ได้ว่ามันดียังไง ของศิลปินทั้งสองคน ดูงาน Starry Night เราก็หยุดคิดๆๆ คิดไปคิดมา แล้วไอ้มิติที่แวนโก๊ะเขาใส่เข้าไป พอถึงจุดหนึ่งมันเริ่มลอยออกมาว่า งานเขาที่เราเห็นว่ามันแบนๆ มันมีหลายมิตินะ พอเราเริ่มจับจุดได้ มันก็ทำให้เรารู้สึกว่ามันสวยมาก ดีใจมากเลย เหมือนเราดูเป็นขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง แฮปปี้มาก”
ชมงานศิลปะแล้วรู้สึกมีความสุข ห้วงเวลาที่ยังเรียนอยู่ต่างประเทศเธอเล่าว่ามีอยู่ด้วยกันหลายครั้ง
“ครั้งหนึ่งตั้งใจจะไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ฝรั่งเศส ไปกับเพื่อน แล้วมาแวะที่อังกฤษต่อ ดิฉันก็ขอเพื่อนว่าไปดูพิพิธภัณฑ์หน่อยได้ไหม วิ่งไปดูคนเดียว รู้สึกจะเป็น The National Gallery วิ่งเข้าไปเพราะมีเวลาไม่มาก จำได้ว่าเราเคยดูในหนังสือ ว่าภาพแนว Impressionism นี่เราชอบ รูปของ VAN GOGH ก่อนหน้านั้นเราเคยเห็นจากหนังสือไม่เคยเห็นจากของจริง วิ่งเข้าไปมันเป็นฮอลล์ ของ Impressionism พอดี เวลาจะกลับหันหลังกลับ หันมาเจอภาพ Sunflowers มันอยู่ท้ายห้องพอดี จำได้ว่าตัวเองยืนตกตะลึง ร้องไห้เลย รูปมันแรงมาก ชาตินี้เกิดมาแล้วคุ้ม เห็นรูปนี้แล้วมีความรู้สึกว่าตายได้แล้ว มันดีมาก แล้วเรามีความรู้สึกว่าความรู้สึกนี้เราอยากให้คนเขาได้รู้สึก ทุกๆครั้งที่ได้เห็นรูปดีๆ มันเหมือนเรียนจบบท มันทำให้เราได้คิด”
แล้วคุณล่ะ ดูงานศิลปะแล้วเคยรู้สึกเช่นเธอบ้างไหม
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|