มาสเตอร์คูลมุ่งทำเงินตปท.พร้อมขยายฐานลูกค้าในไทย


ผู้จัดการรายวัน(23 กุมภาพันธ์ 2550)



กลับสู่หน้าหลัก

มาสเตอร์คูล ลั่นกลองรบ กรำศึกต่างประเทศ เต็มกำลัง เล็งจับตลาดในกลุ่มอาฟริกาใต้ ออสเตรเลีย และยุโรป หลังผุดสำนักงานต่างประเทศแห่งแรก ที่ ดูไบ ปลายปีที่ผ่านมา ด้านตลาดในประเทศ งัดกลยุทธ์ การใช้งานที่หลากหลาย เจาะกลุ่มเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ๆ คาดสิ้นปี รายได้พุ่งขึ้นอีก 30 % หรือกว่า 165 ล้านบาท

นายนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้นำธุรกิจพัดลมไอน้ำ เปิดเผยว่า จากความสำเร็จในปีที่ผ่านมา ในการที่บริษัทเริ่มขยายสาขาไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง และได้เข้าไปเปิดออฟฟิศที่ดูไบในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ปรากฏว่ารายได้รวมเติบโตขึ้นกว่า 30% คิดเป็นมูลค่ากว่า 135 ล้านบาท โดยมาจากต่างประเทศถึง 25 ล้านบาท

“ดังนั้นจากความสำเร็จของการไปทำตลาดที่ประเทศแถบตะวันออกกลางครั้งนี้ ต่อไปการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯจะเป็นไปในทิศทางของการขยายสาขาในต่างประเทศเป็นหลัก โดยประเทศที่จะเข้าไปทำตลาดส่วนใหญ่จะเป็นประเทศในแถบร้อน โดยจะนำเอาโมเดลธุรกิจ จากการทดลองทำที่ดูไบเป็นต้นแบบ ในการเข้าไปทำตลาดในประเทศเขตร้อน อย่าง ประเทศในกลุ่มอาฟริกาใต้ต่อไป ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณไม่เกิน 2 ปี”

ขณะที่ในปัจจุบัน บริษัทฯมีจำนวนสาขาในต่างประเทศ 35 สาขา และมีตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศกว่า 80รายทั่วโลก และล่าสุดการเข้าไปทำตลาดอาฟริกาใต้ ขณะนี้มีตัวแทนจำหน่ายแล้ว 4 ประเทศ เช่น ซูดาน อียิปต์ และเริ่มเข้าไปทำธุรกิจในกลุ่มยุโรปตะวันออกบ้างบางส่วน เช่น ซาโลวาเนีย เซอร์เบีย และฮังการี คาดว่าสิ้นปี จะมีรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 45 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 60 %

“ถึงแม้ว่าทางบริษัทฯจะรุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น แต่ไม่มีแผนที่จะไปตั้งฐานการผลิตยังต่างประเทศแต่อย่างใด เนื่องจากต้นทุนทางด้านการผลิต ค่าแรง และอื่นๆเมื่อเทียบกับในประเทศไทยแล้ว ยังถือว่าสูงมาก ขณะเดียวกันกำลังการผลิต ก็ยังสามารถขยายได้อีกมาก ซึ่งขณะนี้มีกำลังการผลิตอยู่ที่1,000 ชุดต่อเดือน เป็นการส่งออกเพียง 20 %เท่านั้น ทั้งนี้โรงงานการผลิตดังกล่าว สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ถึง 6,000 ชุด ต่อ เดือน”

ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจในประเทศนั้น จะเน้นการนำผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ มาต่อยอดสู่การใช้งานที่หลากหลายมากกว่าการเป็นเพียงพัดลมไอน้ำ อย่างที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการนำไปใช้เพื่อลดฝุ่นละอองในอากาศ, เพิ่มความชื้น และลดการเกิดไฟฟ้าสถิตย์

นอกจากนี้ทางบริษัทฯยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ ให้สามารถใช้ในบริเวณบ้าน และที่พักอาศัยได้มากยิ่งขึ้น โดยจะเน้นในเรื่องของดีไซน์และฟังก์ชั่นการใช้งานที่ต่างออกไป ไม่ให้เหลือเค้าของความเป็นพัดลม คาดว่าช่วงกลางปีนี้ จะสามารถเปิดตัวสู่ตลาดได้

โดยปัจจุบันบริษัทฯมีผลิตภัณฑ์อยู่ 3 หมวด คือ 1.มาสเตอร์คูล ระบบชุดเคลื่อนที่ 2. มาสเตอร์คูล ระบบติดตั้ง และ3. มาสเตอร์คูล ระบบมิล

ขณะเดียวกัน ทางบริษัทฯได้วางงบประมาณไว้กว่า 22 ล้านบาท สำหรับการทำตลาดทั้งและต่างประเทศ เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา แต่จะลดงบการทำตลาดในประเทศลดลงเหลือ 14ล้านบาท จากเดิมที่ใช้กว่า 20 ล้านบาท เนื่องจากมองว่า แบรนด์มาสเตอร์คูลมีความแข็งแกร่งมากพอแล้ว ดังนั้นทางบริษัทฯจะเน้นการทำตลาดในรูปแบบอีเว้นต์มาร์เก็ตติ้ง จัดกิจกรรมเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้เกิดการรับรู้และสัมผัสตัวสินค้าได้จริงมากขึ้น

นายนพชัย กล่าวต่อว่า ปัจจุบันสัดส่วนรายได้การส่งออกอยู่ที่ 25 % เท่านั้น คาดว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้ระหว่างต่างประเทศและในประเทศจะเท่ากัน และหลังจากนั้น แนวโน้มรายได้จากต่างประเทศคาดว่าจะสูงกว่าในประเทศอย่างแน่นอน

โดยในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ารายได้เติบโตรวมขึ้นอีก 30 % คิดเป็นมูลค่ากว่า 165 ล้านบาท มาจากรายได้ในประเทศ 75 % หรือกว่า 120 ล้านบาท และต่างประเทศ 25% คิดเป็นมูลค่า 45 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามมูลค่าตลาดพัดลมไอน้ำในประเทศขณะนี้ คาดว่ามีมูลค่าอยู่ที่ 150 ล้านบาท โดยมีแบรนด์มาสเตอร์คูล เป็นผู้นำด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 95 % อีก 5 % มาจากผู้จำหน่ายรายอื่นๆประมาณ 10 กว่าราย ทั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายย่อย ผลิตเพื่อจำหน่ายในท้องถิ่น และบางส่วนเป็นผลิตภัณฑ์นำเข้าจากประเทศจีน ส่วนตลาดต่างประเทศนั้น มาสเตอร์คูลถือเป็นแบรนด์แรกที่หันมาทำธุรกิจพัดลมไอน้ำอย่างจริงจัง ดังนั้นคู่แข่งโดยตรง จึงยังไม่มีแต่อย่างไร


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.