" ปัจจุบัน นี้เราอยู่ในช่วงสิ้นสุดของยุคทอง Bull Market ที่กำลังจะหมดไป"
บาร์ตัน เอ็ม บิ๊กส์ นายใหญ่แห่งมอร์แกน สแตนเลย์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นอินเวสเม้นท์แบงก์ที่มีชื่อเสียงก้องโลกกล่าวผู้บริกหารของธนาคารกรุงเทพ
หลังจากจบพิธีการลงนามสัญญาสามปี เป็นพี่เลี้ยง Technical Advior แก่ บลจ
.บัวหลวง อย่างเป็นทางการ เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
โดยประวัติส่วนตัว บีกส์ขบมหาวิทยาลัยเยล และ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ค เขาไต่เต้าจากแผนกวิจัยที่
มอร์แกน สแตนเลย์ ตั้งแต่ปี และกลายเป็นดาวรุ่งใน ระดับสูงที่มีผลงานโดดเด่นจาการก่อตั้งบริษัทมอร์แกนสแตนเลย์
แอสเสท แมเนจเม้นท์ ในปี 2518 และปัจจุบันบิกส์ สวมหมวกสองในในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัทมอร์แกน
สแตนเลย์ แอนด์ โค อิงค์ และประธานกรรมการมอร์แกน สแตเลย์ แอสเสท แมนเนจแมนท์
การที่ บาร์ตัน เอ็ม บิกส์ ประธานมอร์แกน สแตนเลย์ แอสเสท เดินทางมาเองในงานนี้
ย่อม สะท้อนถึงการให้ความสำคัญในการลงทุนในภูมิภาคเอเชียนี้ เพราะยักษ์ใหญ่การลงทุนของโลกที่มีเครือข่ายทั่วโลก
และมีฐานข้อมูลการลงทุนระหว่างประเทศครอบคลุมกว่า 3,300 ปริษัทในประเทศ
" เหตุที่เราสนใจการลงทุนในประเทศไทยเพราะว่า asset ในเมืองไทยมีมูลค่าประมาณ
17 เท่าครึ่ง ของ Earning และผมไม่เข้าใจว่า ทำไมหุ้นธนาคารซึ่งน่าสนใจมาก
ๆ จึงมีการซื้อขายกันแบบลดราคาในตลาด ซึ่งผมคิดว่า น่าจะมีคนสนใจลงทุนมากกว่านี้"
บิกส์ กล่าว
พลังขับเคลื่อน ตลาดทุนที่มาจากยักษ์ใหญ่มอร์แกนหว่านเม็ดเงินลงทุถนกว่า
41,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปตามตลาดทุน ตลาดเงินโลก ย่อมบ่งถึงความเป็นมืออาชีพที่มีประสบการณ์จัดการลงทุนกว่า
18 ปี มีฐานลูกค้าหลากหลายรวมถึงกองทุนบำนาญ กองทุน public&Taft hartley
มูลนิธิ ปริษัทประกันชีวิต และธนาคารระหว่างประเทศ
" ผมคิดว่าการที่เราร่วมงานกันได้เหมาะสมเพราะมอร์แกน สแตนเลย์ แอสเสท
เขามีสไตล์การลงทุน เป็นหลัก และหลังจากจบสัญญาที่ปรึกษาสามปีแล้ว เราคงร่วมกันในลักษณะถือหุ้นมากว่า
แต่รายละเอียดต้องรอก่อน " ธวัช อังสุวรังษี กรรมการผู้จัดการ บลจ.บัวหลวง
เล่าให้ฟัง
วิสัยทัศน์ ของบิกส์ ที่กล่าวในหัวข้อ W Global investment Strategy 1995"
บนชั้น 28 ธนาคารกรุงเทพในบ่ายวันนั้น แม้จะโปรบยาหอมให้กับประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียค่อนข้างมาก
โดยอ้างถึงการศึกษาของธนาคารโลก ในปี 2020 ว่า ประเทศไทยจะติดอันดับที่ 7
ใน 15 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ขณะที่ประเทศจีนเป็นแชมป์อันดับหนึ่งแทนสหรัฐฯ
" ในตลาดใหม่อย่าง Emerging market เราให้น้ำหนักการลงทุนมากขึ้น
เพราะศักยภาพของตลาดเอเชียมันโตไปได้ถึงที่สุดเทียบเท่าเท่าญี่ปุ่น เคยเป็นมาในต้น
ๆ ปี 1980 เป็นที่คาดว่า ตลาด Bull Market เริ่มลดลง ซึ่งเวลานั้นตลาดฮ่องกงจะเป็นตลาดที่ดีที่สุด
รองลงมาก็ไทยและ มาเลเซีย" บิกส์ คาดการณ์ให้ฟัง
ขณะที่กลุ่มยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของโลกเช่น สหรัฐ ฯ และญี่ปุ่น ต่างประสบปัญหาวิกฤตตั้งแต่ต้น
" ปี หมูทอง" นี้เริ่มจากผลกระทบด้านอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นผันผวน
เศรษฐกิจทางการเมืองเม็กซิโกปั่นป่วน ภาวะหุ้นตกต่ำในตลาดญี่ปุ่น เพราะแผ่นดินไหวรุนแรงที่โกเบและโอซากิ
และล่าสุด ช็อกคนทั่วโลก ถึงการล่มสลายของบริษัทแบริ่งยักษ์เก่าแก่อายุ ปี
เพราะภาวะขาดทุนนับพันล้านเหรียญที่เกิดจากดาวรุ่งวัย 28 ปี นิก สันลี พียงคนเดียว
เหตุร้ายดังกล่าวบิ้กส์ ได้กล่าวถึงสัจธรรมข้อหนึ่งไว้อย่างน่าฟังว่า
" ตลาดหุ้นที่ตกต่ำถูกผลักดันโดยอารมณ์กลัวและความโลภของมนุษย์ ผมคิดว่า
เราต้องมี secular bear market อีกครั้งหนึ่ง ในอีก 5 ปีข้างหน้า นี่คือแนวโน้มที่ไม่ดี"
คำพยากรณ์ของบิ้กส์ ย้ำเตือนถึง วิกฤตการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
secular bear market คือสภาวะที่ดัชนีหุ้นลดลงอย่างฮวบฮาบกว่า 40% ของดัชนี
เป็นตัวร้ายกาจที่สุดที่ในอดีตเคยเกิดขึ้นมาแล้ว 7 ครั้ง ในสหรัฐฯ ในรอบหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา
" เท่าที่ผ่านมา ผมเคยเห็นเจ้าของกิจการต้องเลิกล้มกิจการเพราะล้มละลายนแล้วไปขายของร้านโชห่วย
เพราะเจ้า secular bear market นี่เอง ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ประเทศอื่น
ๆ ในโลกจะต้องไปอยู่ที่จุดที่ประเทสญี่ปุ่นเจอปัญหาสภวะเศรษฐกิจซบเซาอย่างหนักอยู่ขณะนี้"
นอกจากนี้ บิกส์ยังชี้ว่าตลาดหุ้นที่ตกต่ำลงแบบ steep Cyclical bear market
คือการลดลงของดัชนีในระดับต่ำประมาณ 15-30% จะเกิดวัฏจักรทุก ๆ 3 ปี ขณะที่
Panic Bear Market จะมีลักษณะที่เกิดการลดลงอย่างเร็วในระยะสั้น มาก ๆ เพียง
1-2 วัน
ตัวอย่างเช่น ผลกระทบจากเหตุหายนะแบริ่ง ที่กระทบต่อตลาดหุ้นไทยได้ผลักดัชนีไทยให้ตกต่ำสุดที่
1,160 จุด เกิดจากแรงเทขายหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินที่แบริ่งส์ซื้อไว้ก่อนเกิดปัญหาขาดทุนในตลาดตราสารอนุพันธ์ในญี่ปุ่น
ซึ่งก็เป็นไปตามที่บิ้กส์ได้กล่าวไว้ ล่วงหน้าสัปดาห์หนึ่งว่าอาจจะเกิดผลกระทบรอบสอง
ถ้ามีการขายคืนหน่วยลงทุนในบริษัทแบริ่ง แอสเสท แมเนจเมนท์
" บิกส์ บอกว่าตลาดน่าจะดีขึ้นในเดือนกันยายนนี้ หรืออาจจะเร็วกว่านี้
แต่ว่าจะดีไปอีก 2 ปี หลังจากนั้น ตลาดอาจจะ Drop out ครั้งใหญ่ ซึ่งผมคิดว่า
อะไรที่มองไกลมากๆ มักยากจะคาดเดาได้ แต่ที่แน่นอน คือดูอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของอเมริกาไว้ให้ดี
ๆ " ธวัช เล่าให้ฟัง
คำทำนายของนักบริหารระดับบริหารโลกบาร์ตัน บิ้กส์ ในวันนี้ อาจเปลี่ยนทิศทางการลงทุนได้ตามสถานการณ์เรื่องแบบนี้ต้องฟังหูไว้หูเหมือนกัน