|

ทุนไต้หวันเปิดที่ดินมักกะสันผุดคอมเพล็กซ์รับแอร์พอร์ตลิงค์
ผู้จัดการรายสัปดาห์(19 กุมภาพันธ์ 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
ทุนไต้หวันเฟรเกรนท์ยันไม่ได้รับผลกระทบ พรบ.ต่างด้าว มั่นใจตลาดอสังหาฯ ไทยยังเติบโต ซื้อที่ดินย่านมักกะสัน พัฒนาคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่มูลค่า 4,000 ล้านบาท รองรับแอร์พอร์ตลิงค์เชื่อมสุวรณภูมิของภาครัฐ มองทิศทางอนาคตต้องเติบโตอย่างมั่นคง ขอเดินหน้าลงทุนทีละก้าว ไม่ใช้เงินเกินตัว
หลังจากมีการใช้มาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาเพื่อสกัดกั้นการไหลเข้าของเงินทุนระยะสั้น รวมทั้งการแก้ไข พรบ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในไทยอย่างรุนแรง ซึ่งในแง่ของการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยมากนัก เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นการลงทุนระยะยาว แต่สำหรับความเข้มงวดเรื่องนอมินี ถือว่าส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมาก เนื่องจากบางบริษัทจะต้องแก้ไขให้ถูกต้องด้วยการหาผู้ร่วมทุนใหม่เป็นชาวไทยเข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 51%
สำหรับทุนไต้หวันอย่างเฟรเกรนท์ เรียลเอสเตท ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป ที่เข้ามาร่วมลงทุนกับกลุ่มนักลงทุนไทยเพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียมเป็นหลัก ได้แก่ เฟรเกรนท์ 71 ซ.สุขุมวิท 11 และไพรม์ 11 ซ.สุขุมวิท 11 ไม่ได้รับผลกระทบจากการแก้ไข พรบ.ดังกล่าวแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นบริษัทที่ถือหุ้นโดยคนไทยกว่า 60% โดยอาศัยความเชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรูปแบบผู้ร่วมทุน ซึ่งเป็นบริษัทลูกในเครือลัคกี้กรุ๊ป ดีเวลลอปเปอร์ ยักษ์ใหญ่ในไต้หวัน และเป็นกลุ่มทุนที่มีความเชี่ยวชาญด้านในไต้หวันมากว่า 30 ปี เป็นจุดแข็งในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย
เจมส์ ดูอัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฟรเกรนท์ เรียลเอสเตท ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ซื้อที่ดิน 5 ไร่ บริเวณสี่แยกมักกะสัน ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ โดยมีแผนจะพัฒนาเป็นคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ มูลค่า 4,000 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการลงทุน คาดว่าพัฒนาเฟสแรกเป็นคอนโดมิเนียมยูนิตขนาดเล็ก ระดับราคา 3 ล้านบาท เจาะกลุ่มคนทำงาน ประมาณ 1,000 ยูนิต หรือพัฒนาเป็นเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์
ส่วนเฟสต่อไปจะพัฒนาเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ทั้งหมดเพื่อรองรับโครงการแอร์พอร์ตลิงค์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะเป็นตัวเสริมให้เกิดชุมชนเมืองขนาดใหญ่ขึ้น โดยจะใช้งบลงทุน 3,000 ล้านบาทจากกระแสเงินสดของบริษัท และกู้สถาบันทางการเงินในสัดส่วน 1:1 และใช้เวลาพัฒนาโครงการประมาณ 3 ปี คาดว่าจะเปิดตัวได้ในปลายปีนี้
แม้ความเป็นไปได้ของการก่อสร้างโครงการแอร์พอร์ตลิงค์จะล่าช้า รวมทั้งโครงการครบวงจรขนาดใหญ่อย่าง “มักกะสันคอมเพล็กซ์” บนพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จะถูกระงับไป แต่ เจมส์ ก็ยังมีความมั่นใจว่าจะต้องลงทุนพัฒนาโครงการที่ดินดังกล่าวอย่างแน่นอน และไม่จำเป็นต้องรอความชัดเจนของการลงทุนภาครัฐแต่อย่างใด เนื่องจากมั่นใจว่าอย่างไรก็ตามโครงการภาครัฐจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคต
ด้านทิศทางของบริษัทฯ ในอนาคต เจมส์ กล่าวว่า บริษัทฯ จะเน้นความแข็งแกร่งของธุรกิจ มีความเป็นมืออาชีพ เพื่อเติบโตไปในอนาคตอย่างมั่นคง และยังมองว่าในระยะยาวโครงสร้างระบบเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ซึ่งเป็นจุดดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|