|
กสิกรโหมสช.บ้านลูกค้ากลุ่มตลาดหุ้น มั่นใจเครดิตดี-ความเสี่ยงก่อหนี้น้อย
ผู้จัดการรายวัน(9 กุมภาพันธ์ 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
กสิกรไทยคาดแนวโน้มดอกเบี้ยเงินฝาก-กู้ลดลงอีก 1-1.5% เหตุอัตราเงินเฟ้อปีนี้ลด เผยเตรียมปรับลดดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านในช่วงมี.ค.นี้เป็นแบบคงที่ 3 ปีแรก พร้อมเพิ่มสัดส่วนมาปล่อยสินเชื่อบ้านให้ลูกค้าที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นเป็น40% จากเดิม 35% เหตุมีความน่าเชื่อถือและมีความเสี่ยงในการก่อหนี้เสียน้อย
ขณะเดียวกันจับมือ LPN ปล่อยสินเชื่อลูกค้าโครงการลุมพินี คอนโดทาวน์ บดินทรเดชา-รามคำแหง ด้วยเงื่อนไขพิเศษสุดวงเงินกู้สูงสุดถึง 90–100% ยกเว้นค่าประเมินราคาหลักประกันและค่าธรรมเนียมการจัดการให้กู้
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส สายวิภัชธุรกิจ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ในปี 2550 คาดว่าจะปรับตัวลดลงประมาณ 1-1.5% ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ที่คาดว่าจะลดลงประมาณ 1.5-2.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ระดับ 4.7% จึงเชื่อว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยน่าจะปรับลดลงได้มาก ขณะที่ในส่วนของธนาคารก็เตรียมทบทวนอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านในช่วงสิ้นเดือนมี.ค. ที่จะถึงนี้ เนื่องจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยในระบบที่ปรับลดลงทำให้ต้นทุนของธนาคารลดลง และมีความเป็นไปได้ที่ในช่วงเดือนเม.ย. นี้จะมีการเสนออัตราดอกเบี้ยคงที่ 1-3 ปี เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้า
ทั้งนี้ ในปีนี้ ธนาคารได้ปรับโครงสร้างการปล่อยสินเชื่อบ้านให้แก่กลุ่มลูกค้าใหม่ โดยธนาคารจะเน้นลูกค้าในโครงการที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 40% จากปีก่อนที่มีสัดส่วน 35% เพราะมองว่ามีความเสี่ยงต่ำ และผู้พัฒนาโครงการส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่ได้รับความน่าเชื่อถือ จึงเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีโอกาสน้อยที่จะเป็นสร้างหนี้เสีย นอกจากนี้ธนาคารจะปล่อยสินเชื่อบ้านให้แก่กลุ่มลูกค้าที่เป็นบริษัทนอกตลาด 20% และที่เหลืออีก 40% จะปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มลูกค้าทั่วไป
อย่างไรก็ตามในปีนี้ธนาคารคาดว่าหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ของสินเชื่อบ้านจะลดลงมาอยู่ที่ 4.5% จากปีก่อนที่อยู่ระดับ 4.8% เนื่องจากสินเชื่อบ้านที่ปล่อยใหม่มีคุณภาพดีและธนาคารก็มีการดำเนินการแก้ไขหนี้เสียแล้วบางส่วน ทั้งนี้ในปัจจุบันธนาคารมีเอ็นพีแอลที่ต่ำกว่าระบบเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6%
สำหรับโครงการเมกะโปรเจ็กที่จะมีการก่อสร้างรถไฟฟ้า 5 สาย นั้น นายชาติชาย กล่าวว่า ธนาคารมองว่าไม่น่าจะมีผลกระทบต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลง เพราะปัจจุบันสภาพคล่องในระบบมีส่วนเกินถึง 4.5 แสนล้านบาท ยังทำให้อัตราดอกเบี้ยปรับลดลงได้
ด้านนายกฤษฎา ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ในปี 2550 ธนาคารได้ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อบ้านกสิกรไทยใหม่ไว้ที่ 18,000 ล้านบาท ซึ่งมียอดสินเชื่อเพิ่มขึ้นสุทธิจากปี 49 ประมาณ 8,000 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตกว่า 10% โดยจะดำเนินนโยบายการให้สินเชื่อรายย่อยที่เน้นกลยุทธ์การเข้าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกับผู้ประกอบการธุรกิจอสังหริมทรัพย์มากขึ้น เพื่อให้บริการด้านสินเชื่อบ้านกสิกรไทยแก่กลุ่มลูกค้ารายย่อยของโครงการให้มีเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ เมื่อวานนี้(8 ก.พ.) ธนาคารได้ร่วมลงนามในสัญญาสนับสนุนด้านการเงินแก่โครงการลุมพินี คอนโดทาวน์ บดินทรเดชา-รามคำแหง ของบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะเปิดขายโครงการในวันที่ 10 ก.พ.นี้ โดยธนาคารจะพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้า LPN ด้วยเงื่อนไขพิเศษสุด ด้วยวงเงินสูงสุดถึง 90–100% ของราคาซื้อขาย และอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นอกจากนี้ ยังไม่คิดค่าประเมินราคาหลักประกันและค่าธรรมเนียมการจัดการให้กู้ รวมทั้งยังอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า LPN โดยจะให้บริการหักบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เพื่อผ่อนชำระเงินดาวน์ให้กับโครงการด้วย
“ธนาคารมองว่า LPN มีนโยบายในการพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยของชาวกรุงเทพมหานคร รวมทั้งยังเป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งทางการเงิน ตลอดจนมีความสามารถที่โดดเด่นในการพัฒนาโครงการให้เป็นที่นิยมในกลุ่มลูกค้า และมีประสบการณ์สูง จึงเชื่อว่า LPN จะมีศักยภาพในการเติบโตต่อไปในอนาคต ดังนั้น การเป็นพันธมิตรกับผู้เชี่ยวชาญและผู้นำในตลาดคอนโดนิเนียมอย่าง LPN ในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสที่ดี”
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างธนาคารกสิกรไทยกับบริษัทในครั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับลูกค้าที่มีความต้องการบ้านหลังแรกเป็นของตัวเอง (เฟิร์ส โฮม) ขณะเดียวกันเป็นการสร้างสังคมเมือง พัฒนาชุมชน และการช่วยให้ทุกครอบครัวมีที่อยู่อาศัยภายใต้หลักการ“ชุมชนน่าอยู่ (Vibrant Community)”ของบริษัทด้วย
ดังนั้น ธนาคารกสิกรไทยได้ร่วมบริษัทสร้างบริการรูปแบบใหม่ “Financial Solution Package”เพื่อช่วยรองรับกลุ่มลูกค้าที่เป็น Real Demand ซึ่งต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยหลังจากที่บริษัทได้ประสบความสำเร็จในการทำตลาดกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีรายได้เฉลี่ยประมาณ 15,000 บาทต่อเดือน ถือเป็นกลุ่มที่มีวินัยทางการเงินที่ดีและพัฒนาโครงการควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกด้านของผู้อยู่อาศัยเช่นกัน
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|