|
American Connection
โดย
วิรัตน์ แสงทองคำ
นิตยสารผู้จัดการ( กุมภาพันธ์ 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
ขอขยายความข้อเขียนคราวที่แล้ว โดยเน้นในช่วงสงครามเวียดนาม (2507-2518) แม้ว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่เสนอแนวคิด แต่เห็นว่าควรเพิ่มมิติการมองให้กว้างขึ้นอีก
เริ่มต้นอย่างจริงจังของอิทธิพลสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้รวมทั้งประเทศไทย สาระหลักเรื่องการเมืองและการทหาร ต้องยอมรับว่า กระแสประชาธิปไตยที่เบ่งบานในสังคมไทยช่วงนั้นย่อมได้รับจากอิทธิพลในช่วงสังคมอเมริกันเคลื่อนไหวต่อต้านสงครามเวียดนามอย่างกว้างขวาง
สำหรับการทหาร ซึ่งไม่ใคร่จะมีใครพูดถึงนักก็คือ ในรูปของการช่วยเหลือให้คำปรึกษาและสนับสนุนทางการเงิน ว่ากันว่า กองทัพไทยได้เรียนรู้การบริหารงบราชการลับ เงินช่วยเหลือจากกองทัพสหรัฐฯ ในรูปต่างๆ แม้กระทั่งการให้ตอบแทนสำหรับกองกำลังช่วยรบในระดับภูมิภาคได้อย่างดี ต้องยอมรับว่ากองทัพไทยในช่วงนั้นมีอิทธิพลต่อสังคมมากทีเดียว ซึ่งดูเหมือนจะลดลงและค่อยๆ แยกตัวออกจากสังคมไทย ธุรกิจไทยที่กำลังเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังสงครามเวียดนาม
ที่สำคัญที่สุดที่ควรกล่าวนั้นคือ การปรับโครงสร้างสังคม และนโยบายเศรษฐกิจ รวมถึงอิทธิพลทางเศรษฐกิจและธุรกิจด้วย
ธุรกิจสหรัฐฯ ขยายการลงทุนมาในประเทศไทย โดยเฉพาะกิจการด้าน Consumer Product ซึ่งสะท้อนอิทธิพลสหรัฐฯ กำลังลงลึกถึงวิถีชีวิตและรสนิยมของคนไทย ตั้งแต่ตอนนั้นจนฝังลึกในสังคมตลอดมา
"การลงทุนของธุรกิจสหรัฐฯ" Consumer products
2499 Pepsi 2500 Coca-Cola
2501 Colgate-Palmolive
2511 McDonald, Kodak, Avon
2512 American Standard
2513 Johnson & Johnson, CPC
2515 Levi Strauss
อิทธิพลที่ทรงพลังของสหรัฐฯ คือเงินในรูปการช่วยเหลือการลงทุน หากค้นลงลึกไปจะพบบทบาทธนาคารหรือสถาบันการเงินของสหรัฐฯ หรือสถาบันที่สหรัฐฯ มีอิทธิพลเข้ามามีบทบาทในประเทศทั้งเปิดเผยและอย่างเงียบๆ ทั้งมาลงหลักปักฐานในประเทศไทย หรือมาในลักษณะเป็นโครงการ
EXIM Bank ของสหรัฐฯ ตั้งขึ้นมาในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 เพื่อให้สินเชื่อสำหรับผู้ซื้อสินค้าของสหรัฐฯ เป็นกุศโลบายสำคัญที่เป็นโมเดลที่ทำกันต่อๆ มา โครงการสำคัญที่ธนาคารแห่งนี้เกิดขึ้นในประเทศไทย ก็คือโครงการอุตสาหกรรมผลิตกระดาษคราฟท์ ซึ่งทั้งกระทรวงการคลังและสภาพัฒน์ฯ สนับสนุน แต่โครงการนี้มีปัญหามากจนเอาตัวไม่รอด ในที่สุดเครือซิเมนต์ไทยต้องเข้าไปบริหารแก้ปัญหากิจการ
IFC เป็นหน่วยงานหนึ่งของธนาคารโลก ซึ่งสหรัฐฯ มีอิทธิพลไม่น้อย หน่วยงานนี้สนับสนุนการเงินสำหรับเอกชนทั่วโลก รวมทั้งเข้าถือหุ้นกิจการด้วย IFC ให้เงินกู้ปูนซิเมนต์ไทยและเข้าถือหุ้นถือเป็นการพลิกโฉมหน้าของเครือซิเมนต์ไทย ให้มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น
ส่วนสถาบันการเงินสหรัฐฯ ที่เข้าลงทุนในบ้านเราที่น่าสนใจก็คือ Banker Trust และ Chase Manhattan เข้ามาลงทุนโดยตรง
Financial services
2508 EXIM Bank (Siam Kraft)
2512 IFC (Siam Cement)
2512 Banker Trust (TISCO)
2514 Chase Manhattan (CMIC)
MBA
คำอรรถาธิบายในมิติที่กว้างขึ้นกว่าในอดีตที่ว่าด้วยอิทธิพลสหรัฐฯ ในประเทศไทย ซึ่งต่อเนื่องจากคำอธิบายที่ว่าด้วยการลงทุน การเข้ามาของสินค้าไลฟ์สไตล์อเมริกัน จนถึงความรู้ที่คนไทยนิยมไปเรียนสหรัฐฯ มากขึ้น หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองนั้นที่สำคัญมากประการหนึ่งคือ ความรู้ด้านบริหารธุรกิจสมัยใหม่แบบอเมริกัน ซึ่งเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นในโลกในตอนนั้นนั่นคือ MBA
การมาของ MBA ครั้งสำคัญในเมืองไทยเข้ามาอยู่ในใจกลางสังคมธุรกิจไทยเสียด้วย สังคมการเงินซึ่งวางรากฐานเป็นสังคมวงในมีความมั่นคงและยิ่งใหญ่ในยุคที่ธนาคารไทยมั่นคง ทั้งมาจากธุรกิจครอบครัวตระกูลสำคัญของสังคมไทย และนโยบายรัฐที่คุ้มครองธุรกิจธนาคารด้วย จากนั้นถือเป็นยุคของความผันแปรทางการเงินของโลกเข้ามากระทบเมืองไทยโดยตรงมากขึ้นด้วย แต่ธนาคารไทยก็ยังมั่นคง
อิทธิพลของ MBA ขยายวงในหลายมิติ แม้ว่า MBA จะเปิดสอนในเมืองไทยที่ NIDA ด้วยความช่วยเหลือของสหรัฐฯ (ผ่าน Ford Foundation และมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ) มานาน แต่กว่าจะเกิดกระแสวงกว้าง ก็มาจาก MBA สหรัฐฯ ที่มีบทบาทในสังคมธุรกิจมากและแสดงฝีมือให้ประจักษ์
ยิ่งเมื่อธุรกิจเอกชนต้องการพัฒนาคนเพื่อตอบสนองการขยายตัว MBA ก็กลายเป็นสูตรสำเร็จ ด้วยการเริ่มต้นของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งมีผู้นำอย่างบัญชา ล่ำซำ ผู้ได้ชื่อว่าเป็น American Connection คนสำคัญ ด้วยโครงการให้ทุนการศึกษา MBA อย่างเป็นจริงเป็นจังครั้งแรกในประเทศไทย จากนั้นก็มาเครือซิเมนต์ไทย ซึ่งตอนนั้นมี MBA เพียงคนเดียวที่มีบทบาทสำคัญในบริษัทก็เริ่มโครงการด้วย โครงการนักเรียน MBA ของเครือซิเมนต์ไทยได้สร้างบุคลิกเฉพาะในเวลาต่อมา
การศึกษา MBA ในประเทศไทย
2509 สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA)
2525 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
2530 สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การมาของผู้จบ MBA จากสหรัฐฯ รุ่นสำคัญ
2512 ชุมพล ณ ลำเลียง (ปีที่จบการศึกษา 2510)
2513 ศิวะพร ทรรทรานนท์ (2513)
2514 ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ (2513), ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล (2513),
เอกกมล คีรีวัฒน์ (2514)
ต้องยอมรับว่าความจริงการเรียนรู้ การปรับตัวของผู้นำในวงการ ธุรกิจที่มีโมเดลข้างต้น มีส่วนสำคัญในการพัฒนาธุรกิจไทยอย่างไม่ต่อเนื่อง มากนัก แต่สังคมธุรกิจไทยก็ยังดำเนินต่อมาและแก้ปัญหาตัวเองได้ในช่วง อย่างน้อย 3 ทศวรรษ
เรื่องท้าทายที่สุดวันนี้ก็คือ ดูเหมือนสังคมไทยจะถอยหลังไปมากทีเดียว เหมือนยุค MBA เริ่มต้นในเมืองไทย ผู้นำวงการธุรกิจยุคสมัยเหล่านี้จะทำอย่างไร
หมายเหตุ ข้อเขียนชิ้นนี้สาระหลักเรียบเรียงมาจากหนังสือ ชุมพล ณ ลำเลียง "ผมเป็นเพียงลูกจ้าง" ของผู้เขียนเอง
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|