สำหรับคนวัย 60 เศษ ที่ได้เคยผ่านชีวิตวัยรุ่นหนุ่มสาวในกรุงเทพฯ เมื่อกว่า
40 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงของทศวรรษ 1960 น้อยคน นักที่จะลืมบรรยากาศในช่วงเวลาดังกล่าวไปได้
สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ก็เป็นผู้หนึ่งที่มีความประทับใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพูดถึงเรื่องราวต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในยุคนั้น เขายังจำได้ติดตา หลาย เหตุการณ์เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันวานนี้เอง
"มันเป็นช่วงเวลาที่สวยงาม และประทับใจ It' s a good old day" เขาบอกความรู้สึก
สวัสดิ์ใช้ชีวิตในยุคปี 1960 อย่างคุ้มค่า เวลานั้นเขาเพิ่งมี อายุได้เพียง
16-17 ปี เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างการเรียนในช่วง ปลายกับช่วงเริ่มต้นทำงานใหม่ๆ
สวัสดิ์เรียนไม่สูงมาก ด้วยเหตุผลที่เขาไม่ชอบระบบการสอน ที่ได้รับ ประกอบกับมีอายุมากกว่าเด็กอื่นๆ
ในชั้นเดียวกัน เขาจึงตัดสินใจเลิกเรียนหลังจบเพียงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
แต่ด้วยความที่เป็นคนใฝ่รู้ และชอบอ่านหนังสือ ชีวิตใน วัยรุ่นที่โลดโผนของเขา
จึงเปรียบเสมือนเป็น หลักสูตรสอน ที่บ่มเพาะให้เขาเป็นคนที่รอบรู้ยิ่งผู้หนึ่ง
สวัสดิ์เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2484 เขาเติบโตขึ้นในชุมชนคนจีน ในซอยวัด
พิเรนทร ย่านวรจักร เริ่มต้นเข้าโรงเรียนครั้งแรก เมื่ออายุ 8 ขวบ ที่โรงเรียนกว่างจ้า
ซึ่งเป็นโรงเรียนจีนกวางตุ้ง ก่อนจะย้ายมาอยู่โรงเรียนธีรพัฒน์วิทยา ย่านบางจาก
เขาเริ่มต้นเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เมื่อมีอายุได้ 14 ปี ที่โรงเรียนสาธรวิทยา
ถนนสาทร
โรงเรียนแห่งนี้ เคยเป็นโรงเรียนจีน ชื่อเซียงหวย แต่ถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
สั่งปิดชั่วคราว ในช่วงที่ระบอบคอมมิวนิสต์ จากจีนแผ่นดินใหญ่ เริ่มแผ่ขยายอิทธิพลเข้ามาในประเทศไทย
ช่วงที่สวัสดิ์ย้ายมาเรียนที่นี่ โรงเรียนแห่งนี้เพิ่งเปิดให้มีการสอนอีกครั้งเป็นปีแรก
โดยถูกรัฐบาลสั่งห้ามไม่ให้มีการเรียนการสอนภาษาจีน โดยเด็ดขาด
เขายอมรับว่า ตลอดระยะเวลา 6 ปี ที่เขาเรียนระดับมัธยมต้นที่นี่ เขาหนีเรียนบ่อยมาก
"ผมชอบในระบบของครูสมัยก่อน เพราะเขา take care ลูกศิษย์ดีมาก และลูกศิษย์
ก็ให้ความเคารพ แต่ว่าหลักสูตรนี่ผมไม่ชอบ คือวิธีการที่ครูออกข้อสอบแล้วกำคำตอบไว้ในกระเป๋า
คือคุณจะต้องตอบให้ตรงกับคำตอบของครู อย่างวิชาประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์
อะไรที่เป็นข้อเขียน ปรัชญา มันไม่มีหลักสูตรตายตัว เพราะฉะนั้นครูจะต้องเรียนรู้จากลูกศิษย์
40-50 คนในห้อง ว่าทุกคนวิเคราะห์ประวัติศาสตร์อย่างไร ทำไมกรุงศรี อยุธยาแตกถึง
2 ครั้ง ให้เด็กอ่านแล้วเขียนวิเคราะห์ ทุกคนจะได้รู้ว่าเด็กคนนี้คิดอย่างไร
ไม่ใช่ว่าสอบไปแล้ว ผมเขียนอธิบายเสียอย่างดี แต่ผมลืมวันที่ข้างขึ้นข้างแรมที่กรุงแตก
กลับสอบตก ผมจะไปจำได้อย่างไรว่าขึ้นกี่ค่ำ แรมกี่ค่ำ มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าจำ
สาระต่างหาก ที่น่าจำ"
สิ่งที่สวัสดิ์ทำในช่วงที่ไม่ได้เข้าห้องเรียน มิได้บ่งบอกว่าเขาเป็นเด็กเกเร
ตรงกันข้าม กลับแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของคนที่ต้องการเรียนรู้ เพราะเขาหนีโรงเรียนเพื่อไปเช่าหนังสือมาอ่าน
"ผมอ่านหนังสือทุกประเภท ตั้งแต่วรรณคดี งานของหม่อมเจ้าอากาศดำเกิง กุหลาบ
สายประดิษฐ์ ซึ่งก็คือศรีบูรพา อุดม อุดากร ผมอ่านหมดเลย ของหม่อมคึกฤทธิ์
ตั้งแต่ไผ่แดง สี่แผ่นดิน ทุกเล่มอ่านหมด เพราะฉะนั้นความรู้ในโรงเรียนผมไม่ค่อยมี
แต่ความรู้ รอบตัวของผมใช้ได้"
สถานที่ซึ่งสวัสดิ์มักจะไปในช่วงที่ไม่เข้าห้องเรียน คือที่โบสถ์เซ็นต์หลุยส์
ซึ่ง ตั้งอยู่ติดกับโรงเรียนสาธรวิทยา เขาใช้เวลาอยู่ที่นี่เพื่ออ่านหนังสือที่เขาชอบบ่อยครั้งมาก
จนมาวันหนึ่ง มีแม่ชีประจำโบสถ์ผู้หนึ่งมาพบเข้า "เธอชื่อแหม่ม Sekera
คิดว่าจะเป็นญาติๆ ของอาจารย์แมนรัตน์ ศรีกรานนท์ เป็นคนฟิลิปปินส์ แต่ได้สามีเป็นชาวอังกฤษ"
แหม่ม Sekera ถามสวัสดิ์ว่าทำไมถึงไม่ไปเรียนหนังสือ เพราะเวลานั้นเป็นชั่วโมงเรียน
เขาก็บอกไปตามตรงว่าเขา ขี้เกียจเรียน เขาหนีเรียนมา แหม่ม Sekera เห็นว่าสวัสดิ์ไม่ใช่เด็กที่เกเร
จึงได้สอนภาษาอังกฤษให้กับเขา
ผลจากการที่เขาได้เรียนภาษาอังกฤษกับแหม่ม Sekera ในช่วงเวลาที่เพื่อนคนอื่นเข้าไปอยู่ในห้องเรียน
ประกอบ กับความกล้าที่จะฝึกฝนการใช้ภาษา เขาจึงเป็นเด็กที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีที่สุดในชั้นเรียนเดียวกัน
"ตอนนั้นเวลาเราพูดภาษาอังกฤษ เพื่อนก็หมั่นไส้เรา ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง
ชื่อเอนก คนนี้ก็กล้าเหมือนกัน เวลาขึ้นรถเมล์ก็พูดภาษาอังกฤษกับเพื่อนคนไทยที่เป็นนักเรียนด้วยกัน
ผิดบ้างถูกบ้าง ขณะที่เพื่อนคนอื่นที่อยู่บนรถเมล์มันก็อาย"
กิจวัตรอีกอย่างหนึ่ง ที่สวัสดิ์ชอบทำในช่วงวัยรุ่น คือการไปดูภาพยนตร์
ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีภาพยนตร์จากต่างประเทศเข้ามาฉายในไทยกันมาก การเข้าชมภาพยนตร์ของสวัสดิ์
นอกจาก จะเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้นแล้ว เขายังได้มีโอกาสฝึกฝนการฟังภาษาอังกฤษไปในตัว
"สมัยนั้นหนังที่เข้ามา ยังไม่มีพากย์ แต่จะมี sub title แล้ว เวลาผมดูหนัง
ผมดูลึก ถ้าหนังไม่ดี ดูครั้งเดียวผ่าน แต่ถ้าหนังดี ผมจะดูซ้ำอีกครั้ง ตอนดูครั้งแรกก็อ่าน
sub title แต่ถ้าดูอีกครั้งจะไม่อ่านเลย เพราะเนื้อหาโดยรวมผมรู้เรื่องหมดแล้ว
เราก็หัดฟังสำเนียงที่เขาพูดกัน แล้วก็ดูสบาย เราจะเริ่มรู้ว่าหนังเรื่องนี้มันสนุก
อย่างไร คนแสดงเก่งอย่างไร ทำไมถึงฉายเป็นร้อยครั้ง แล้วทำไมถึงได้ตุ๊กตาทอง"
ช่วงเวลา 6 ปี ในการเรียนชั้นมัธยมของสวัสดิ์ แม้ความรู้ในห้องเรียนเขาจะได้รับน้อยกว่าเพื่อน
เขาผ่านการศึกษาแต่ละระดับด้วยคะแนนเฉลี่ยประมาณ 53-54% ทุกปี แต่ความรู้รอบตัว
ภาษา และโลกทัศน์ เขากลับมีมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ในชั้นอย่างเทียบไม่ได้
หลังเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 ขณะนั้นเขาอายุได้ 20 ปีแล้ว จึงตัดสินใจเลิกเรียน
และหางานทำ
ครอบครัวของสวัสดิ์ เป็นชาวจีนที่อพยพจากกวางตุ้งเข้ามาในประเทศไทย เถ้าแก่ตั๊กพ่อของสวัสดิ์เดินทางมาเมืองไทยพร้อมกับสุรีย์
อัษฎาธร ผู้ก่อตั้งกลุ่มน้ำตาลไทยรุ่งเรือง ยิ่งไปกว่านั้น สุวัฒน์ อัษฎาธร
ลูกชายคนโตของสุรีย์ ก็ยังได้เข้ามาเป็นเขยของตระกูลหอรุ่งเรือง ดังนั้นความสัมพันธ์ของทั้ง
2 ครอบครัวนี้จึงแนบแน่นกว่าปกติ
ตอนสวัสดิ์ตัดสินใจเลิกเรียนหนังสือ เป็นช่วงที่สุรีย์กำลังสร้างโรงงานน้ำตาลขึ้นที่อำเภอศรีราชา
จังหวัดชลบุรี สุวัฒน์ซึ่งเป็นพี่เขยจึงชวนให้ เขาไปร่วมงานด้วย ในฐานะล่ามให้กับวิศวกรชาวไต้หวันที่มาช่วยสร้างโรงงานน้ำตาล
เพราะเห็นว่าสวัสดิ์สามารถพูดได้ทั้งภาษาจีน และภาษาอังกฤษ
"ทำงานตอนนั้น เงินเดือนเริ่มต้นก็ 700 บาท เมื่อ 40 ปีที่แล้ว อัตรานี้จะเท่ากับ
ข้าราชการชั้นตรีเต็มขั้น ที่จะขึ้นเป็นชั้นโท ถือว่าไม่เลวทีเดียวสำหรับคนจบแค่
ม.6"
ช่วงแรกสวัสดิ์คิดว่างานนี้คงทำเพียงไม่นาน เพราะกลุ่มวิศวกรเหล่านี้มาทำงานไม่กี่เดือนก็คงจะกลับประเทศ
แต่ผิดคาด เพราะขณะนั้นกลุ่มไทยรุ่งเรืองได้ขยายโรงงานน้ำตาลออกไปอีกหลายแห่ง
จากศรีราชา ไปที่ระยอง ก่อนที่จะมากาญจนบุรี และวิศวกรกลุ่มนี้ถูกชะตากับสวัสดิ์
จึงขอให้สุวัฒน์ดึงให้เขาอยู่ช่วยงานต่อไปเรื่อยๆ
ยิ่งไปกว่านั้น วิศวกรกลุ่มนี้ยังได้แต่งตั้งให้สวัสดิ์ขึ้นเป็นหัวหน้า
ทำหน้าที่ดูแลช่าง และวิศวกรชาวไทย
"ผมก็ถามว่าทำไมให้ผมเป็นหัวหน้า เพราะผมจบแค่ ม.6 แต่พวกนี้มันเป็นวิศวะ
มันจบทั้งจุฬา จบเกษตรเยอะแยะไปหมด เขาบอกว่า เขาสังเกตผมว่าเวลาผมไปกินข้าวกลางวัน
โต๊ะผมจะเป็นกลุ่มใหญ่ และทุกคนจะฟังผม เวลาผมเล่าเรื่องอะไรออกมา เพราะฉะนั้นผมจึงเป็นคนที่มี
leader ship"
สวัสดิ์ทำงานให้กับกลุ่มน้ำตาลไทย รุ่งเรืองได้เพียง 5 ปี พออายุ 25 เขาก็ไปขอลาออกกับพี่เขย
เพื่อกลับมาช่วยดูแลกิจการโรงกลึงของที่บ้าน ก่อนที่จะก่อตั้งเป็นโรงงานเหล็กเส้นนครไทยสตีลเวอร์ค
ช่วง 2-3 ปีสุดท้ายของการเรียนระดับมัธยม ต่อเนื่องมาถึง 5 ปีในชีวิตการเป็นลูกจ้างโรงงานน้ำตาลของสวัสดิ์
เป็นช่วงยุคปี 1960 ซึ่งเป็นระยะที่โลกสงบที่สุด แม้ว่าจะเริ่มต้นมีสงครามเย็นระหว่างค่ายคอมมิวนิสต์กับทุนนิยมเกิดขึ้นมาบ้างแล้วก็ตาม
สังคมไทยยุคนี้ก็เป็นสังคมที่สงบเรียบร้อย เพราะการปกครองอย่างเด็ดขาดของจอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์ อาชญากรรม หรือสิ่งเลวร้ายจึงไม่ปรากฏออกมาให้เห็น
ด้วยฐานะทางบ้านที่ไม่ถึงกับยากจน ประกอบกับการเริ่มต้นทำงานด้วยอัตรา
เงินเดือนที่น่าพอใจ ประกอบกับความรู้ภาษาอังกฤษที่มีติดตัวอยู่ตลอดเวลา
สวัสดิ์ได้ใช้เวลาในช่วงนี้หมดไปกับการเที่ยวเตร่ เฮฮาภาษาวัยรุ่น ทั้งเต้นรำ
ฟังเพลง ดูหนัง ดูละคร และจีบผู้หญิง
เขาเป็นคนที่มีความสามารถทางด้านการเต้นรำ เขามีทั้งเพื่อน และรุ่นพี่ที่เป็นแชมป์ของประเทศไทยอยู่หลายคน
ในระหว่างเรียน เขาจะเก็บเงินค่าขนมที่ได้รับในแต่ละวัน เพื่อนำไปใช้ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
โดยการตระเวนไปเต้นรำตามไนต์คลับต่างๆ ที่เปิดขึ้นมามากในยุคนั้น กับกลุ่มเพื่อนที่สนิท
และเมื่อเริ่มโตขึ้น มีงานทำ เขาจะตระเวนไปเต้นรำยังสถานที่ที่ไกลออกไปเช่นบางปู
หรือบางแสน
เขาบอกว่าการใช้ชีวิตช่วงนี้ เมื่อเปรียบกับปัจจุบันแล้ว แตกต่างกันอย่างเทียบไม่ได้
"ยุค'60 ของทั้งโลกเลย สังคม วันนั้น beautiful ทั้งหนัง ทั้งดนตรี มันมีลีลาที่แสดงออกถึงความมีวัฒนธรรม
เป็นศิลปะสร้างสรรค์ออกมาได้อย่างโรแมนติก เพลงทุกเพลงออกมาเพราะหมด ไม่ว่าจะเป็นเพลงสากล
หรือเพลงไทย"
สวัสดิ์ยกตัวอย่างของมาริลีน มอนโร ซึ่งเป็นดาราที่เขาชื่นชมมากที่สุด
ถึงกับนำ รูปไปติดไว้ในห้องทำงาน มาริลีนได้ชื่อว่าเป็น sex star ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น
แต่ในการแสดงภาพยนตร์แต่ละเรื่อง ไม่เคยมีใครเห็นมาริลีน มอนโร ถอดเสื้อผ้า
"มัน only feeling action คิดดูซิแค่เห็นสายเดี๋ยวตกลงมา สมัยก่อนที่ผมเป็นหนุ่มผมเอาไปฝันทั้งวันเลย"
ที่สำคัญคือสังคมไทยในยุคนั้น เป็น สังคมที่ไม่อันตราย และมีกติกาของตัวเอง
"ตอนเราเป็นเด็ก เราเดินไปขณะที่ผู้ใหญ่เขาคุยกันอยู่ในเรื่อง sex เขาเห็น
เรา เขาจะหยุดพูด แล้วบอกให้เราไปไกลๆ แต่พอเราเริ่มโตขึ้น เข้าช่วงวัยรุ่น
ผู้ใหญ่กลุ่มนี้ก็จะให้คำแนะนำ เพราะเห็นว่าเราพร้อมแล้ว"
ความสวยงามของสังคมในยุค 1960 ได้สร้างความประทับใจให้กับสวัสดิ์ ทำให้เขาเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี
และมีความหวังในชีวิตอยู่ตลอดเวลา
เขามักพูดเสมอว่า พระอาทิตย์เมื่อตกลงไปแล้ว จะต้องมีวันขึ้นมาอีกครั้ง
นิสัยนี้ ติดตัวเขามาตั้งแต่เป็นเด็กวัยรุ่น จนกระทั่งถึงปัจจุบัน