|

เมโทรสตาร์ฯทุ่ม1,000ล้านบาท ซื้อที่ดินแนวรถไฟฟ้าเล็งผุด3โครงการใหม่
ผู้จัดการรายวัน(25 มกราคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
"เมโทรสตาร์" ทุ่มงบ 100 ล้านหว่านโฆษณาหวังโดน ใจวัยโจ๋ หลังเดินหน้าลุยคอนโดระดับกลางในแบรนด์ "เมโทร อเวนิว" ปี 50 ทุ่มงบ 1,000 ล้านบาทซื้อที่ดินตั้งเป้าผุดเพิ่ม 3 โครงการ ล่าสุดเปิดโครงการใหม่ "เมโทร อเวนิว สุขุมวิท 66" เกาะแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย พร้อมตั้งงบโฆษณากว่า 100 ล้านบาทพร้อมปรับโลโก้บริษัทใหม่หวังโดนใจวัยหมุ่ม-สาว คาดปิดการขายได้ภายใน 6 เดือน ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 4,500 ล้านบาท ยอดรับรู้ 1,400 ล้านบาท
นายวีระ บูรพชัยศรี ประธานกรรมการบริหารบริษัท เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งงบประชาสัมพันธ์ไว้ถึง 100 ล้านบาท เพื่อสร้างการรับรู้ในแบรนด์สินค้าและเป็นการประชาสัมพันธ์โครงการ หลังจากเดิมบริษัทจะเน้นพัฒนาโครงการในระดับบน แต่ปัจจุบันได้เริ่มหันมาพัฒนาในระดับราคา 40,000-55,000 บาท/ตารางเมตร ในแบรนด์ "เมโทร อเวนิว" ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมเกาะแนวรถไฟฟ้า อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่จำนวนยูนิตมาก ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำการประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าได้รับรู้ในวงกว้าง
โดยในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโครงการใหม่อีก 3 โครงการ ตั้งงบประมาณซื้อที่ดินไว้ที่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งต้องพิจารณาความเหมาะสมอีกครั้งว่าจะพัฒนาเป็นเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ อาคารสำนักงาน โรงแรมหรือคอนโดมิเนียม
ส่วนการหาผู้ร่วมทุนนั้น ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังกังวลในเรื่องมาตรการของภาครัฐที่ออกมาเข้มงวดต่อนักลงทุนชาวต่างชาติ อีกทั้งมาตรการที่ออกมายังไม่มีความชัดเจน และหวั่นเกรงว่าจะมีมาตรการอะไรใหม่ๆ ออกมาเพื่อสร้างความกดดันต่อนักลงทุนต่างชาติอีก อย่างไรก็ดี หากบริษัทหาผู้ร่วทุนได้ก็จะช่วยให้สามารถขยายการลงทุนเพิ่มได้จากแผนเดิม หรือสามารถพัฒนาได้อีก 4-5 โครงการในปีนี้ สำหรับเป้าหมายในการดำเนินงานปีนี้ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 4,500 ล้านบาท รับรู้รายได้ 1,400 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่คือ เมโทร อเวนิว สุขุมวิท 66 (Metro Avenue Sukhumvit 66) ทำเลติดถนนใหญ่บนเนื้อที่กว่า 4 ไร่ ซึ่งบริษัทได้ซื้อที่ดินบริเวณนี้มาในราคา 80,000 บาทต่อตารางวา พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม 2 อาคารจำนวน 654 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 1,300 ล้านบาท
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวอยู่ห่างจากรถไฟฟ้าเส้นสุขุมวิทส่วนต่อขยายสถานีอุดมสุขเพียง 30 เมตร สามารถเดินทางมุ่งสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวกสบาย ราคาขายอยู่ที่ 55,000 บาทต่อตารางเมตร ผ่อนชำระ 4,800 ต่อเดือน ซึ่งโครงการเมโทร อเวนิว สุขุมวิท 66ได้เปิดขายพร้อมกับโครงการเมโทร อเวนิว รัชโยธิน โดยช่วงเดือน ธค. 49 บริษัทได้ทำโรดโชว์ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ เป็นการแนะนำโครงการให้ผู้ที่สนใจได้จับจอง ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีทั้งจากลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ที่สนใจสอบถามข้อมูลบริเวณบูธและตัดสินใจจองทันที
ในปี 2550 บริษัทได้เปิดสำนักงานขายเมโทร อเวนิว บริเวณศาลาแดง ซ.2 ถนนสีลม เพื่อเปิดให้จองโครงการทั้ง 2 ทำเลนี้อย่างเป็นทางการ และคาดว่าจะเปิด Grand Opening ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายจะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ระดับ B ขึ้นไป ระดับรายได้ 30,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป
โดยทั้ง 2 โครงการนี้รองรับความต้องการที่ต่างกัน สำหรับลูกค้าโครงการเมโทร อเวนิว รัชโยธินจะเน้นผู้ที่รักความสนุกสนาน อิสระ มีสไตล์เป็นของตัวเอง เพราะรายล้อมด้วยแหล่งความบันเทิงนานาชนิด ส่วนเมโทร อเวนิว สุขุมวิท 66 เป็นคอนโดมิเนียมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความเป็นส่วนตัวและการพักผ่อน สะดวกสบายด้านการเดินทาง ด้วยศักยภาพของทำเลสุขุมวิทที่นับวันจะหายากมากขึ้นและกำลังซื้อที่มีศักยภาพสูง คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายใน 6 เดือน
สำหรับแผนการดำเนินงานในไตรมาส 1 นี้ บริษัทได้ตั้งเป้าโอนโครงการเซ็นหลุยส์ แกรนด์เทอเรสเริ่มตั้งแต่กลางเดือนที่ผ่านมา โดยขณะนี้มียอดขายแล้วกว่า 80% ส่วนโครงการบ้านรวิภา ทาวน์โฮม 4 ชั้น 7 ระดับบนถนนสุขุมวิท 103 ได้เปิดขายแล้วอย่างเป็นทางการ โดยมีความคืบหน้าด้านการก่อสร้างแล้วกว่า 70% พร้อมบ้านตัวอย่างตกแต่งแล้วเสร็จจำนวน 2 หลัง
ทั้งนี้บริษัทยังปรับแผนการพัฒนาโครงการสาทร เทอเรสซึ่งจากเดิมเป็นโครงการคอนโดมิเนียมโดยปรับเปลี่ยนเป็นโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ เพราะเล็งเห็นว่าศักยภาพของทำเลที่นับวันจะทวีมูลค่าเพิ่ม และเป็นการสร้างรายได้ต่อเนื่องในระยะยาว ขณะนี้กำลังรอเซ็นสัญญากับ Hotel Chain ระดับ 5 ดาว คาดว่าจะสามารถลงนามได้เร็วๆนี้ ส่วนโครงการเมโทรสาทร ทาวเวอร์ โครงการ Mix used ขนาดใหญ่ที่เปิดตัวเมื่อประมาณกลางปี 2549 มีแผนจะดำเนินการก่อสร้างใน ไตรมาส 3 ที่จะถึงนี้ด้วย
"เดิมทีเราตั้งใจจะขาย ซึ่งถ้าสร้างเสร็จแล้วขายใช้เวลา 2 ปี เราจะได้กำไร 400 ล้านบาททันที แต่ถ้าเราเอาไปปล่ยเช่าเราจะมีกำไรเข้ามาปีละไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งในระยะยาวแล้วถือว่าคุ้มกว่า และคาดว่าจะมีโครงการในลักษณะนี้ออกมาอีก ซึ่งจะต้องอยู่ในทำเลที่ดีมากๆจึงจะทำได้" นายวีระกล่าว
LPNไม่หวั่นสต๊อกบ้านปี49พุ่ง
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยว่า จากกรณีที่บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด เปิดเผยถึงผลสำรวจสต๊อกบ้านสะสมสิ้นปี 2549 ที่มีกว่า 92,000 หน่วย มูลค่า 2.4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% ซึ่งเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ทั้งนี้ประเมินว่าไม่มีผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทฯ เนื่องจากมีทำเลที่ใกล้ขนส่งมวลชน ที่เดินทางสะดวกสบาย ในขณะะเดียวกันราคาขายคอนโดมิเนียมยังอยู่ในระดับที่ไม่แพงมากเกินไป รวมทั้งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงล่าง ที่ตลาดยังคงขยายตัวในทิศทางที่ดี ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดได้เปรียบผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
" โชคดีที่บริษัทไม่มีทำเลที่อยู่บริเวณรัชดาและลาดพร้าว เพราะก่อนหน้านั้นได้ประเมินแล้วว่าทำเลบริเวณนั้นการแข่งขันจะสูง จึงหันมาเน้นแนวรถไฟฟ้าและเจาะกลุ่มลูกค้ากลางถึงล่าง ดังนั้นแม้สต๊อกบ้านหรือคอนโดฯ จะมากก็ไม่กระทบต่อยอดขายของบริษัท" นายโอภาสกล่าว
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|