เมื่อคนเราไม่อาจสู้หรือถอย


นิตยสารผู้จัดการ( มีนาคม 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

ในที่สุดนักวิจัยก็สามารถสรุปได้ว่า ใช่เพียงแต่ โรคซึมเศร้าซึ่งเป็นโรคทางใจร้ายแรงเท่านั้น ที่อาจสามารถทำร้ายร่างกายเราได้ แม้แต่เพียงอาการป่วยทางใจที่รุนแรงน้อยกว่าอย่างอาการเครียดเรื้อรัง ก็สามารถทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนหลายต่อหลายตัว ซึ่งในระยะสั้นแล้วมีประโยชน์ แต่กลับเป็นพิษต่อร่างกายหากคงอยู่เป็นเวลานาน ที่แย่ก็คือ อาการเครียดเรื้อรังดังกล่าวเป็นสิ่งเกือบจะเกิดขึ้นเป็นปกติ

ในชีวิตประจำของคนนับล้านๆ คนทั่วโลก อันเกิดจาก การพยายามจัดการกับแรงกดดันของวิถีชีวิตสมัยใหม่ในยุคนี้ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่กลวิธีต่างๆ ในการลดความเครียดซึ่งช่วยทำให้จิตใจรู้สึกผ่อนคลาย อันได้แก่ การทำสมาธิ โยคะ และการออกกำลังกายเพื่อการผ่อนคลายอื่นๆ จึงไม่เพียงแต่ช่วยด้านจิตใจเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยให้ร่างกายของคุณรู้สึกสบายไปด้วย

ปฏิกิริยาทางร่างกายของมนุษย์ที่มีต่อความเครียด ที่เรียกว่าปฏิกิริยา "สู้หรือหนี" อาจวิวัฒนาการขึ้นมาเพื่อ ช่วยให้บรรพบุรุษยุคหินของเรา สามารถจัดการกับโลกที่ยัง ป่าเถื่อนในสมัยนั้นได้ เมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายที่อยู่ตรงหน้า เช่น เสือที่กำลังแยกเขี้ยวพร้อมจะกระโจนเข้ามาขม้ำ หรือศัตรูที่กำลังควงตะบองอย่างบ้าระห่ำ ร่างกายของเราจำเป็นต้องอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมในทันที เพื่อปกป้องตัวเองหรือเผ่นป่าราบเพื่อเอาชีวิตรอด

ด้วยเหตุนั้น สมองซึ่งกำลังตื่นตกใจ จึงส่งสัญญาณไปยังต่อมหมวกไต ซึ่งตั้งอยู่เหนือไต เพื่อให้หลั่งฮอร์โมนได้แก่ adrenaline (หรือชื่อทางเทคนิคคือ epinephrine) และฮอร์โมนกลุ่ม glucocorticoids และส่งสัญญาณไปยังเซลล์ประสาทให้หลั่งฮอร์โมน norepinephrine สารเคมีอันทรง พลังเหล่านี้ ช่วยทำให้ประสาทรับความรู้สึกของเราเฉียบคมขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น หัวใจเต้นแรงขึ้น ในกระแสเลือดเต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำตาลซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สามารถนำมาใช้ได้ทันที เมื่ออันตรายที่คุกคามนั้นผ่านพ้นไป ปฏิกิริยาต่างๆ เหล่านี้จะหยุดลงทันที

แต่ในโลกสมัยใหม่ยุคคอมพิวเตอร์ ความเครียดมักจะปรากฏในรูปแบบที่แตกต่างไปจากยุคหินโดยสิ้นเชิง แต่ทว่าปฏิกิริยา "สู้หรือหนี" ของร่างกายเรากลับยังคงอยู่เหมือนเดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลงตามลักษณะของความเครียดส่วนใหญ่ที่เราเผชิญในโลกสมัยใหม่ มักเป็นความเครียดที่คงอยู่อย่าง ต่อเนื่องและไม่รุนแรง และมักจะเกิดในสถานการณ์ที่เราไม่อาจจะ "สู้หรือถอย" ได้ เช่น การเผชิญกับเจ้านายเจ้าอารมณ์ รถติด ทะเลาะกับแฟน หุ้นตก หรือแม้แต่การรู้สึกว่าคุณไม่สามารถควบคุมอะไรๆ ในชีวิตได้อีกต่อไปแล้ว

แม้ว่าฮอร์โมนบางตัวที่ร่างกายหลั่งออกมาเมื่อเกิดความเครียดจะไม่คงอยู่ในระดับสูงตลอดเวลา แต่ฮอร์โมนกลุ่ม glucocorticoids จะยังคงอยู่ในระดับสูงแม้ความเครียดนั้นจะผ่านพ้นไปแล้ว โดยเฉพาะฮอร์โมน cortisol ซึ่งเป็นฮอร์โมนตัวหนึ่งในกลุ่มนี้ สามารถจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ และอาจทำให้โรคมะเร็งและโรคติดเชื้ออื่นๆ เลวร้ายลง อย่างไรก็ตาม การวัดผลต่อร่างกายที่เกิดจากความเครียดเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก

ผลการศึกษาหลายชิ้นบ่งชี้ถึงผลดีของการนำกลวิธีคลายเครียดต่างๆ มาใช้กับผู้ป่วย ในการศึกษาผู้ป่วยโรคเรื้อนครั้งหนึ่งได้แบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกผู้ป่วยได้ทำสมาธิร่วมกับการรักษา ส่วนกลุ่มหลังไม่ได้ทำสมาธิ ผลปรากฏว่า กลุ่มแรกเห็นผลในการรักษาเร็วกว่า ผลการศึกษาอีกหลายชิ้นแสดงว่า ผู้ป่วยที่สวดมนต์เป็นประจำและผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มีทัศนคติเป็นบวก หรือสามารถระบายความโกรธที่มีต่อโรคร้ายที่ตนเป็นออกมาได้ มักจะมีอายุยืนยาวกว่าผู้ป่วยด้วยโรคเดียวกันที่ไม่ได้มีการสงบจิตใจหรือระบายความอัดอั้นตันใจออกมา

ผลการศึกษาต่างๆ ข้างต้นเป็นสิ่งที่น่ายินดี แต่เวลาเผชิญกับโรคร้ายแรงมากๆ จริงๆ กลวิธีคลายเครียดต่างๆ จะสามารถช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับการรักษาแผนปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม หากการทำสมาธิ การสวดมนต์และการออกกำลังกายประเภทคลายเครียดต่างๆ สามารถกำจัดแรงกดดันออกไปจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเราได้ แม้จะเพียงทีละเล็กละน้อยเท่านั้นก็ตาม แต่เมื่อเวลาผ่าน ไปนานๆ เข้า ก็ย่อมจะมีส่วนช่วยให้เรามีชีวิตที่มีสุขภาพ ดีขึ้นได้



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.