|
บล.กสิกรฯตั้งเป้ามาร์เกตแชร์1.5%หวังเครือข่ายแบงก์เสริมรับเปิดเสรี
ผู้จัดการรายวัน(19 มกราคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
บล.กสิกรไทย มั่นในศักยภาพในฐานะบริษัทในเครือแบงก์พร้อมรับการเปิดเสรี "รพี" ระบุปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ยากของธุรกิจหลักทรัพย์เพราะต้องเจอกับปัญญาสารพัดเรื่อง ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนลูกค้าเท่าตัวจากปีที่ผ่านอยู่ที่ 3 พันบัญชี ขณะที่มาร์เกตแชร์ยังหวัง 1.5% โดยเน้นเจาะลูกค้าแบงก์-สถาบัน คาดเปิดครบ 10 สาขาได้ในปีนี้
นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2550 ว่า บล.กสิกรไทย ยังให้น้ำหนักในการเพิ่มจำนวนนักลงทุนที่มาจากลูกค้าธนาคาร รวมถึงการเพิ่มลูกค้าสถาบัน เนื่องจากที่ผ่านมาอัตราการเติบโตค่อนข้างดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการเติบโตของกองทุนต่างๆ ที่มีมูลค่ารวมกันมากกว่าล้านล้านบาท โดยบริษัทจะเน้นการมุ่งพัฒนาบทวิเคราะห์ในเชิงลึกและเต็มรูปแบบมากขึ้น โดยสามารถใช้ข้อมูลจากบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รวมถึงข้อมูลทางตลาดเงินจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) อย่างเต็มที่
ทั้งนี้ ปีนี้ถือเป็นปีที่ยากของธุรกิจหลักทรัพย์ เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นค่อนข้างมากไม่ว่าจะเป็นการลอบวางระเบิด 8 จุดทั่วกรุงเทพ มาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแหงประเทศไทย (ธปท.) เป็นต้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องที่ส่งผลทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างของตลาดทุนไม่ว่าจะเป็นการเปิดเสรีค่าคอมมิชชัน การเปิดเสรีใบอนุญาตธุรกิจหลักทรัพย์ การยกเลิกการค้ำประกันเงินฝาก รวมถึงการเปิดโอกาสให้ธนาคารพาณิชย์สามารถทำธุรกิจแบบครบวงจรได้ ทำให้บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ต้องเร่งปรับตัว เร่งสร้างฐานลูกค้าเพื่อชดเชยรายได้ที่ลดลงจากค่าคอมมิชชัน
สำหรับภาพรวมของบริษัทในปีนี้บริษัทคาดว่ามาร์เกตแชร์จะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 1.5% จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.5-0.6% ขณะที่สัดส่วนรายได้ของบริษัทจะเป็นรายได้จากหน้านายซื้อขายหลักทรัพย์ประมาณ 75% และจากด้านวาณิชธนกิจประมาณ 25% ส่วนจำนวนบัญชีลูกค้าบริษัทคาดว่าจะมีจำนวนบัญชีที่มาเปิดบริการเพิ่มขึ้น 100% จากปัจจุบันมีจำนวนบัญชีอยู่ที่ 3,000 บัญชี
นางณัฐรินทร์ ตาลทอง กรรมการผู้จัดการ สายงานนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ กล่าวว่า กลยุทธ์ในปีนี้บริษัทจะยังเน้นทั้งด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ (Quality of product) ซึ่งบริษัทถือว่าเป็นจุดแข็งมากไม่ว่าจะเป็นด้านบทวิเคราะห์ เพราะบริษัทมีทีมงานที่มีประสบการณ์และในวันที่ 15 ก.พ.นี้ บริษัทจะได้ทีมงานใหม่เข้ามาเพิ่มทำให้ทีมวิเคราะห์ของบริษัทครอบคลุมทุกเรื่อง
ส่วนของคุณภาพของการบริการ (Quality of service) บริษัทได้เชื่อมโยงระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งแบบผ่านเจ้าหน้าที่การตลาดและผ่านอินเทอร์เน็ตมาอยู่ในบัญชีเดียวกันเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า รวมทั้งการให้บริการด้านสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ด้วยต้นทุนของบริษัทที่ต่ำกว่าคู่แข่งอื่นทำให้บริษัทสามารถผ่อนสินเชื่อโดยคิดดอกเบี้ยเพียง 5.75% ต่อปี
สำหรับกลุ่มลูกค้าสำคัญของบริษัทส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าธนาคารซึ่งบริษัทแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ กลุ่ม Private Wealth Management ซึ่งมีเงินฝากมากกว่า 50 ล้านบาท ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 700 ราย และกลุ่ม Signature ซึ่งมีเงินฝากมากกว่า 5 ล้านบาทปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 15,000 ราย
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมที่จะพัฒนาเจ้าหน้าที่การตลาดของบริษัทอย่างต่อเนื่องจากเดิมที่มีอยู่ประมาณ 50 รายโดยในปีนี้คาดว่าจะรับเพิ่มอีกประมาณ 70 คนเพื่อรองรับจำนวนลูกค้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
นางณัฐรินทร์ กล่าวอีกว่า การบริหารงานภายใต้แนวคิด Universal Banking คือการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าครอบคลุมทุกด้าน โดยลูกค้าสามารถเข้ามาใช้บริการต่างๆของบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยได้ผ่าน Cyber Branch ซึ่งอยู่ภายในสาขาของธนาคารกสิกรไทย โดยภายในไตรมาส 1/50 จะเปิดให้บริการในสาขาเยาวราชและรัดาภิเษก-ห้วยขวาง และคาดว่าจะเปิดให้ครบ 10 สาขาภายในสิ้นปีนี้
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|