|
กองอสังหาฯเบรกหัวทิ่ม! ไทยพาณิชย์ชะลอกองใหม่-QHกระเทือน
ผู้จัดการรายวัน(17 มกราคม 2550)
กลับสู่หน้าหลัก
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งกำหนดให้มีการกันสำรอง 30% สำหรับเงินลงทุนระยะสั้น ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์) เป็นอย่างมาก เนื่องจากทำให้ความน่าสนใจลงทุนลดลง จากที่ในปีที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม หากธปท.มีการผ่อนปรนนโยบายกันสำรอง 30% น่าจะทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยในปี 2549 มูลค่ารวมของหลักทรัพย์ประเภทกองทุนอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท แต่ในปีนี้หลังจากออกมาตรการดังกล่าวมานั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ประเมินว่า น่าจะออกมาเป็นหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยมูลค่ารวม 7-8 หมื่นล้านบาท
" กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ไม่ใช่ทางเลือกที่นักลงทุนจะเข้ามาเก็งกำไรค่าเงิน แต่เป็นการลงทุนระยะยาวและภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่เอื้อ ไม่เหมือนกับตลาดหุ้นที่มีสภาพคล่อง ดังนั้นผลที่ได้อาจไม่คุ้มกับอัตราแลกเปลี่ยน จึงพยายามผลักดันให้ธปท.รู้ว่า การลงทุนในกองทุนประเภทนี้ไม่ใช่การเก็งกำไรค่าเงิน และควรได้รับการยกเว้น อยากให้พิจารณาในรายละเอียดให้มากขึ้น" นายอดิศร กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของบลจ.ไทยพาณิชย์ในปี 2549 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ภายใต้การบริหารของทั้ง 3 ธุรกิจ มีมูลค่าสูงถึง 217,798 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79.10% จากปีก่อน โดยคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 13.89% ซึ่งมูลค่าสินทรัพย์แบ่งเป็น 3 ธุรกิจกองทุน คือ ธุรกิจกองทุนรวมมูลค่า 170,668 ล้านบาท ,ธุรกิจสำรองเลี้ยงชีพ มูลค่า 44,046 ล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล มูลค่า 3,084 ล้านบาท
ทั้งนี้ บลจ.ไทยพาณิชย์ มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิกองทุนรวม ภายใต้การจัดการ เป็นอันดับหนึ่ง มีมูลค่ากว่า 170,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118.28% จากปีก่อน ณ วันที่ 29 ธ.ค. 2549 มีจำนวนลูกค้าถึง 165,104 ราย เพิ่มขึ้น 44.43% จากปีก่อน โดยกองทุนรวมที่มีการเสนอขายไอพีโอ ในปี 2549 มีจำนวน 27 กองทุน แบ่งเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ 25 กองทุน กองทุนรวมลงทุนต่างประเทศ 1 กองทุน และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 1 กองทุน
สำหรับแผนการดำเนินงานในส่วนของธุรกิจกองทุนรวมในปี 2550 ตั้งเป้าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหาร ไว้ที่ 2.3 แสนล้านบาท โดยมุ่งเน้น 4 กองทุนได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์สะสมทรัพย์ ตราสารหนี้ (SCBSFF) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว (LTF) กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund)
นายกำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจกองทุนรวม บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 2 กองทุน ในจำนวนนี้มี 1 กองทุนที่จะขายในช่วงไตรมาสแรกของปี แต่หลังจากที่ธปท.ออกมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาท ส่งผลให้บริษัทต้องเลื่อนการขายหน่วยลงทุนออกไป เนื่องจากหลังจากที่มีการสำรวจความต้องการลงทุนของต่างชาติ ส่วนใหญ่ต่างชะลอการตัดสินใจลงทุน เพราะต้องการรอประเมินสถานการณ์ก่อน
“ เท่าที่คุยกับนักลงทุนต่างชาติ นักลงทุนส่วนใหญ่ค่อนข้างกังวลกับมาตรการของธปท. และอยากรอดูความชัดเจนก่อนว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายอะไรอีกหรือไม่ ทำให้แผนออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ จากเดิมที่กำหนดขายไตรมาสแรกของปีนี้ ต้องเลื่อนออกไปก่อน แต่ทางบริษัทจะพยายามออกให้ทันภายในครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าโครงการขนาดเล็ก คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการธปท.มากนัก ”นายกำพลกล่าว
ทั้งนี้ บลจ.ไทยพาณิชย์เอง ยังมีแผนที่จะเพิ่มทุนในส่วนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ควอลิตี้เฮ้าส์ ซึ่งผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว ก็อาจจะทำให้บริษัทต้องเลื่อนแผนการระดมทุนออกไปก่อนเช่นกัน เพราะต่างชาติอาจจะยังไม่มั่นใจถึงความชัดเจนของมาตรการดังกล่าว อย่างไรก็ตาม คงต้องรอดูท่าทีของธปท.อีกครั้งว่า จะผ่อนปรนมาตรการนี้กับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หรือไม่
หนุนธปท.ยกเลิกมาตรการกันสำรอง30%
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 กล่าวว่า มาตรการกันสำรอง 30% เงินทุนนำเข้าระยะสั้นของธปท. มีผล
กระทบอย่างมากต่อตลาดหุ้น หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง 108 จุด เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2549 ซึ่งบุคคลในแวดวงตลาดทุนก็ต้องการให้ ธปท. ยกเลิกมาตรการดังกล่าว หรือผ่อนคลายมาตรการโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ตลาดหุ้นไทยเกิดความผันผวนไปมากกว่านี้
อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวมีผลกระทบต่อกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ค่อนข้างน้อย โดยมีผลต่อมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนวายุภักษ์ลดลง เพียง 1.8% และนักลงทุนทั่วไป ที่ถือหน่วยลงทุนของวายุภักษ์ ได้รับผลกระทบเพียง 0.17% เนื่องจากผู้ถือหุ้นใหญ่ของกองทุนวายุภักษ์ คือกระทรวงการคลัง จึงได้รับผลกระทบในสัดส่วนที่สูงกว่า ทำให้กำไรที่กระทรวงการคลังได้รับลดลงบ้าง อย่างไรก็ตาม ยังมั่นใจว่าหาก ธปท.ยังใช้มาตรการดังกล่าวต่อเนื่องในปีนี้ กองทุนวายุภักษ์ยังสามารถจ่ายเงินปันผลได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 3 เพราะแม้ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวลดลง แต่ระบบพื้นฐานเศรษฐกิจยังใช้ได้ศักย- ภาพการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนยังดีอยู่
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|