"2 ผู้ว่าการทางฯ"


นิตยสารผู้จัดการ( พฤศจิกายน 2536)



กลับสู่หน้าหลัก

การทำงานอยู่ในตำแหน่งใดด้วยระยะเวลายาวนาน โดยเฉพาะเมื่อเป็นตำแหน่งที่เป็นระดับสูงสุดในหน่วยงานนั้น ที่สามารถควบคุมทิศทางขององค์กรนั้นได้ด้วยแล้ว ความจำเป็นที่จะต้องจากตำแหน่งนั้นด้วยความไม่เสียดายหรืออาลัยเลยนั้น ปุถุชนทั่วไปคงทำได้ยากยิ่ง

จรัญ บุรพรัตน์ กับการดำรงเป็นตำแหน่งผู้ว่าการทางฯ ถึง 14 ปีนั้น ก็ไม่ได้อยู่ในข้อยกเว้นเช่นกัน

การตัดสินใจลาออกจากการทางฯ เป็นสิ่งที่จรัญทำใจได้อย่างยากเย็นแสนเข็ญ แม้ว่าตลอด 14 ปีเต็มที่นั่งในตำแหน่งที่ถูกกระแสทางการเมืองบีบบังคับให้เดินตามตลอดเวลา

จรัญถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถประสานประโยชน์ของแต่ละฝ่ายได้อย่างดีเยี่ยม เพราะนักการเมืองหลายต่อหลายคนที่ขึ้นมาดูแลการทางฯ หรือภาคเอกชนที่ต้องมาทำงานด้วย ไม่เคยมีเรื่องระหองระแหงจนต้องเกิดวิกฤตการณ์ที่ยากจะประนีประนอมดังเช่นคราวนี้

แม้ว่าในช่วงแรก ๆ ที่จรัญขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งใหม่นี้นั้น เขาจะมาด้วยการสนับสนุนของพรรคการเมืองระดับใหญ่ในขณะนั้น แต่จรัญก็มีความสามารถที่จะสร้างความสัมพันธ์กับพรรคการเมืองอื่นได้อย่างลงตัว ดังนั้นโครงการที่เกิดขึ้นในช่วงที่จรัญอยู่ในตำแหน่งนี้นั้น ทุกพรรคการเมืองจึงเห็นด้วยกับนโยบาย "บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น" ของจรัญเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งมีผู้คาดหวังว่าจรัญน่าจะอยู่ในตำแหน่งนี้จนกระทั่งเกษียณอย่างแน่นอน

ในช่วงที่วิกฤตการณ์ทางด่วนมาจนถึงทางตันของปัญหา มีเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะจากประธานกรรมาธิการคมนาคมของสภาผู้แทนราษฎร ให้เรียกตัวจรัญมาให้ปากคำถึงข้อผิดพลาดในอดีตเกี่ยวกับสัญญาทางด่วน ในฐานะผู้อยู่ใกล้ชิดปัญหาที่สุดคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้มีเสียงตอบจากจรัญ ว่าจะมาให้การได้เมื่อใด

ว่ากันว่าเหตุที่จรัญสามารถไปจำศีลภาวนา อย่างสงบเสงี่ยมโดยไม่มีใครสามารถไปวอแวได้นั้น เป็นเพราะอานิสงส์การทำตัวอย่างเสมอต้นเสมอปลายของตนเอง ในอดีตกับบรรดาพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านจึงสามารถรอดตัวมาได้

หลังจากพ้นตำแหน่งผู้ว่าการทางฯ มา จรัญก็เก็บตัวนิ่งเงียบไม่ยอมเป็นข่าวแต่อย่างใด จนกระทั่งได้มีการเปิดเผยในที่สุดว่าเขาได้ไปนั่งในตำแหน่งที่ปรึกษาของบริษัทไทยอะโรเมติกส์ ด้วยการสนับสนุนอย่างแรงของเลื่อน กฤษณกรี ผู้ว่าการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) โดยอาศัยที่ ปตท. มีหุ้นอยู่ในไทยอะโรเมติกส์ถึง 100%

ความแตกต่างของงานที่ไทยอะโรเมติกส์กับที่การทางฯ คงไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะจรัญยังอาศัยความรู้ด้านวิศวกรรมได้เช่นเดิม การทำงานที่มีความคล่องตัวมากขึ้นของเอกชน และการไม่มีอิทธิพลทางการเมืองเข้ามาแทรกแซง คงทำให้จรัญมีความสุขมากขึ้น

นอกจากนั้นยังมีความเป็นไปได้สูงมากว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ จรัญจะได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของไทยอะโรเมติกส์ เมื่อกรรมการผู้จัดการคนปัจจุบันของไทยอะโรเมติกส์ต้องเกษียณอายุในต้นปีหน้านี้

คงจะช่วยเยียวยาความรู้สึกได้เป็นอย่างดี

การเข้ามาสู่ตำแหน่งผู้ว่าการทางฯ ของสุขวิช รังสิตพลนั้น ค่อนข้างจะตรงข้ามกับจรัญ เพราะเป็นความตั้งใจของสุขวิชเองที่หวังจะเข้ามาสร้างชื่อเสียงในการเข้ามาแก้ไขปัญหาในองค์กรที่ตัวเองไม่เคยมีความรู้พื้นฐานมาก่อนเลย

ด้วยความสนิทและคุ้นเคยกับ "บิ๊กจิ๋ว" พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธจากการที่เคยร่วมทำโครงการอีสานเขียวมาด้วยกัน ผนวกกับความสนิทของสุขวิชกับกลุ่มอำนาจต่าง ๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มทหาร 0143 หรือ จปร. 5 ซึ่งมี พล.อ. สุจินดา คราประยูร เป็นประธานกลุ่มนั้น สุขวิชก็มีความสัมพันธ์เป็นอย่างดี

จากความสัมพันธ์ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มอำนาจต่าง ๆ นี้เอง ทำให้สุขวิชไม่ค่อยมีปัญหาในด้านธุรกิจ ในช่วงที่มีปัญหาระหว่างเชลล์กับคาลเท็กซ์ กลุ่มทหารสาย จปร. 5 ก็เข้ามาเป็นที่ปรึกษาในการไกล่เกลี่ยปัญหานี้

ด้วยความเป็นนักรัฐศาสตร์จากรั้วเหลืองแดง และไต่เต้าจากการเป็นเซลล์แมนประจำเขต ขึ้นมาจนเป็นคนไทยคนแรกในตำแหน่ง NO. 1 ของคาลเท็กซ์ได้นั้น สุขวิชได้ตั้งความหวังไว้ว่า จะอยู่ในตำแหน่งผู้ว่าการทางฯ นี้เพียง 3 ปีเท่านั้นให้พอดีกับการเกษียณของตัวเอง

และแน่นอนว่าหลังจากนั้น การเมืองก็เป็นเส้นทางที่สุขวิชคาดหวังว่าจะก้าวไปสู่ โดยมีเป้าหมายขั้นต้นคือ การเป็น ส.ส. ของพรรคความหวังใหม่



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.